วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2565

ASIC 101 : ซ่อม Antminer T17 T17+

AntMiner T17  T17+

Download คู่มือซ่อม T17  คู่มือซ่อม T17+(ภาษาจีน) Hex File T17

S17 และ S17Pro คือ ตัวเดียวกัน ใช้ชิป 1397AD เหมือนกัน แต่ S17Pro คือ การคัดเกรดชิปเท่านั้น ส่วน T17 นั้น Bitmain เลือกที่จะวางชิปจำนวนน้อยกว่า S17 ในพื้นที่เท่ากัน (30 VS 48 ตัว) ทำให้นักขุดมองในแง่ดีว่า T17 มีซิงค์ที่ใหญ่กว่า และทำให้หลายคนเชื่อว่า T17 จะมีประสิทธิภาพต่อการกินไฟที่ดีกว่า S17

แต่การที่มันเริ่มต้นกินไฟถึง 3,000W มันกินไฟเยอะมากๆ  ทำให้นักขุดมองว่า มันไม่ใช่อุตสาหกรรมในครัวเรือนแล้ว แต่มันคือ ASIC ระดับอุตสาหกรรม ไปแล้ว

ส่วน Series +  หรือ S17+ และ T17+  จะมีการออกแบบ Hashboard ใหม่ โดยใช้ชิปรุ่นที่ใหม่กว่า (แต่เป็นชิปเดิม MinorChange มากกว่า) คือ ชิป 1397AG ที่ใหม่กว่า 1397AD (รายละเอียดชิปแต่ละรุ่นจะอยู่ด้านล่าง)  S17/T17 เดิม และ Series+ ยังใส่ชิปลงไปในบอร์ดมากกว่าเดิม คือ 65 ตัว เทียบกับ S17 ที่ใส่แค่ 48 ชิป ชิปทั้งสองตัว ตามสเปคแล้วควรจะเหมือนกันหมดทุกอย่าง  แต่ความเป็นจริง ที่นักขุดก็ยังคงบ่นรุ่น 17 เช่นเคย คือ ซิงค์มันกลับไม่ได้รับการพัฒนาขึ้นเลยแม้แต่น้อย  แล้วยังวางชิปที่หนาแน่นกว่าเดิม ยิ่งทำให้ซิงค์เล็กลงอีก และเพิ่มโอกาสทำให้ซิงค์หลุดเช่นเดิม

ส่วน Seires E  หรือ S17e และ T17e นั้นจะค่อนข้างแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเลือกใช้ชิป 1396 และวางชิปมากถึง 135 ชิป ต่อบอร์ด

อย่างไรก็ดี Series 15 และ 17 ยังคงเป็น เครื่องขุด ASIC ที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะ ระบบการบักกรีที่ไม่ได้คุณภาพ และ PSU ที่คุณภาพต่ำ นอกจากนี้ มันมีพัดลมถึง 4 ตัวทำให้เสียงดังถึง 82 Db  และเน้นว่า เครื่องนี้ ต้องเสียบสายไฟทั้ง 2 เส้น และกินไฟถึง 2200-3000 W


สรุป
T17 (30Chip ซิงค์ใหญ่สุด และเย็นที่สุด มีปัญหาน้อยที่สุด ) 
T17+ (65 Chip ค่อนข้างแย่ ซิงค์เยอะ และชิปอยู่ชิดกันมาก โอกาสเสียจากชิปไหม้สูง ถ้าซิงค์หลุดเยอะ การซ่อมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ) 

PSU สำหรับ S17  T17  S17Pro  จะเป็นใช้ PSU รุ่น APW 9
PSU สำหรับ S17+  T17+  S17e  T17e จะใช้ PSU รุ่น APW9+

คำแนะนำในการตั้งค่าเครื่องนี้ ดังนี้
ให้ตั้งค่าความถี่ (FQ) 
ลงมาให้ได้อุณหภูมิที่ต่ำๆไว้ก่อน ( สำหรับ T17 ค่ามาตรฐานโรงงานอยู่ที่ 690) หรือ ลดการตั้งค่า การจ่ายไฟลง (ค่ามาตรฐานโรงงานจะอยู่ที่ 17.5 Volt) ที่สำคัญคือ จะได้ประหยัดค่าไฟด้วย และลดความร้อนลงด้วย

การตั้งค่า พัดลม เนื่องจาก T17 มีปัญหาเรื่องความร้อนสูงมาก จึงควรตั้งค่าพัดลม 80% ขึ้นไป แต่เสียงก็จะดังมากๆ  อย่างไรก็ดี หากพัดลมดับ เครื่องจะหยุดทำงานทันที ดังนั้น ควรสำรองพัดลมไว้ทั้ง พัดลม ASIC และ PSU แต่ประเด็น คือ รุ่นนี้ มันถอดมาเพื่อเปลี่ยนพัดลมได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด 

อีกประเด็นคือ Hash Board  ตระกูลนี้ ก็มีปัญหาเรื่อง EEPROM  (บน HashBoard ไม่ใช่ Control Board)  โดยเป็นทั้ง Series S และ T หากมี Hash Board ที่เสียจำนวนมาก ควรซื้อเครื่อง Copy เฟิมแวร์จากเครื่องที่ดี แล้วไป Paste ลงเครื่องที่เสียเลย  เพราะเครื่องที่เสียส่วนใหญ่ 60% มาจากประเด็นนี้เลย

T17
เคส ก่อนอื่นมีคนยืนยันว่า มันสามารถใช้เคส ร่วมกับ S17 ได้  แต่มันไม่สามารถเสียบสลับกันไปมาใน Case เดียวกันได้

Specification
สเปคดั้งเดิมของ T17 จะมีแรงขุดที่ 40-42Th กินไฟ 2200-2500W ใช้ 3 การ์ด แต่ละการ์ดใส่ชิป (BM1397)  จำนวน 30 ชิป (Asic 0 คือ ตัว buffer ชอบตะกั่วร่อน  มันทำหน้าที่ รับส่งข้อมูล จะต้องผ่าน IC Buffer 2 ตัว (6 ขา) ที่คอยแปลงข้อมุลก่อนส่งออก 201(Tx) กับ 202(Rx)  มีหน้าที่ปรับกระแสกับแรงดัน เพื่อสื่อสารกับ IO
(ขา1 ต้องมี 3.3V  ขา 6 ต้องมีไฟ 1.8V)

ค่ามาตรฐานของเฟิมแวร์ทางการ คือ เครื่องจะหยุดรันเมื่อ 2 อย่างคือ
1. อุณหภูมิชิปสูงถึง 100 C 
2. อุณหภูมิบอร์ดสูงถึง 75 C


T17 Setting 
โหมดพัดลม มันจะอยู่ในค่า Silent Mode ในตอนเริ่มต้น (เพื่อให้ Temp Sensor ทำงานก่อน พอมันร้อน ค่อยเปลี่ยน Mode)

ตั้งค่า
 Downscale เมื่อชิปร้อนเกินไป (ถ้าร้อนมากเกิน 80 C แนะนำให้ถอดบอร์ดออกหนึ่งตัว โดยบางคนเชื่อว่า เอาการ์ดที่เสียมาไว้ตรงกลางจะดีที่สุด) อุณหภูมิจะลดลงมาพอดี หรือพัดลมตั้งที่ 100%

การตั้งค่าจ่ายไฟ PSU ค่ามาตรฐานตั้งไว้ที่ 17.2-17.5 V แต่เวปเมืองนอกจะแนะนำให้ตั้งค่าที่ 15.8-16.5V

การซ่อม
ส่วนประกอบ และการซ่อมระบบไฟ ของ HashBoard
1. เริ่มต้น เราจะดู Kernel Log ก่อนว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น หาพัดลมไม่เจอ หาการ์ดไม่เจอ หรือ หากชิปไม่ครบ หรือ ปัญหาเซนเซอร์อุณหภูมิ จะได้ วิเคราะห์ปัญหาได้ใกล้เคียง

1.1 ถ้าเห็นการ์ด หรือ  ชิปบางส่วนแล้ว ยืนยันได้เลยว่า ไม่ใช่ PSU และพัดลม เสียแน่นอน

1.2 กรณี พบว่า Log รายงานว่า  เป็น Temp Sensor error เครื่องจะพยายามรักษาตัวเองด้วยการปิดการ์ดใบนั้น ทำให้เราไม่เห็นการ์ดใบนั้นทำงาน

แม้ว่า สันนิษฐานของหลายคนคือ Temp Sensor เสีย แต่มีหลายคนยืนยันว่า เมื่อเปลี่ยน Temp Sensor แล้วก็เปล่าประโยชน์ เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากตัว Temp Sensor เอง (เป็นไปได้ยากมากที่ Temp Sensor จะเสียพร้อมกัน 4 ตัว) แต่ปัญหาน่าจะเกิดจาก Chip ตัวสุดท้าย หรือ U1 (น่าจะอยู่ในชุด Booster) ที่จ่ายไฟมีปัญหามากกว่า รวมถึง PSU ที่จ่ายไฟไม่เพียงพอมากกว่า (ดังนั้นต้องย้อนกลับไปอ่าน Log อีกครั้งว่า Volt ที่จ่ายไฟให้แต่ละการ์ดถูกต้องหรือไม่ก่อน) แต่บางคนแนะนำให้ลงเฟิมแวร์ใหม่ หรือ  Flash PIC KIT ก่อน ขณะที่บางคน แค่ทำความสะอาด PSU และเปลี่ยนพัดลมก็หายเป็นปกติแล้ว ขณะที่บางคน แค่อุ่นอากาศรอบตัว รีสตาร์ทก็เปิดได้แล้ว มีคนใช้โปรแกรมทดลองแล้วพบว่า มันอ่านอุณหภูมิได้ค่าติดลบเฉยเลย)

2. เราจะเริ่มต้นถอดการ์ดที่มีปัญหาออกมาตรวจสอบด้วยสายตาก่อน โดยตรวจสอบฮีทซิงค์ก่อนเลยว่ามีล้มหรือไม่ เพราะถ้าซิงค์แตะกันเมื่อไหร่ หมายถึง ชิปมีโอกาสช๊อตกันสูง เพราะไฟลบของแต่ละโดเมน มันวิ่งถึงกันนั่นเอง 

ก่อนต่อสายไฟ เราจะเริ่มต้น การนับชิป และโดเมนก่อน
การนับชิปตัวที่  1 จากเริ่มจากตัวที่ใกล้ I/O Port มากที่สุด แล้วนับลงมา สลับฟันปลาไปมา
การ์ดจะใช้ ชิป BM1387  จำนวน 30 ตัว มี 10 Volt Domains แต่ละ Volt Domain  มีจะมี 3 ชิป (แต่ละชิปจะมี 34 ขา)

ความเข้าใจเกี่ยวกับ Volt Domain 
มันคือ  แต่ละโดเมนจะมีการส่ง ไฟฟ้าแรงดันโวลท์ไป ถ้า ระหว่าง โดเมน ผิดปกติ การ์ดนั้นจะดับ (ตรงนี้ อาจต้องใช้เครื่อง Text Fixture ตรวจ)

3. เริ่มต้นต่อสายไฟจาก PSU เข้าบอร์ด  คำเตือนแรกคือ   ห้ามต่อสายไฟสลับขั้วกันโดยเด็ดขาด มันจะมีแค่ขั้ว + (แดงอยู่บน) กับ - (ดำอยู่ล่าง) อ้างอิงตามรูปด้านบน 

ปกติ หากมีเครื่อง Test Fixture เราจะเริ่มเสียบจากตรงนี้

การทดสอบสัญญาณ ควรเริ่มต้นจาก ถอดซิงค์ (ยังไม่เสียบ) แล้วเทส แดงจิ้มหลังชิป ดำจิ้มรูทดสอบ ทดสอบด้วยการตั้งค่า โอห์ม จะต้องขึ้น 0 ทุกอัน (แต่จะมีอันหนึ่งขึ้น 2.6 โอห์ม)

วัดโวลท์ ด้วยการจิ้มกับหลังชิป
BO      0 V    (Diode 1200+-20) (ถ้าเจอ 1.8 แสดงว่า ชิปก่อนหน้าอาจเสีย ยกตัวอย่างเช่น เราเริ่มต้นที่ตัวสุดท้าย ได้ 1.8V ก็ไล่จิ้มจนกว่าจะเจอตัวที่ 0V นั่นเอง)
RST    1.7V   Diode 1200+-20)
RX RI  1.7V   (Diode 420+-20)
TX      1.7V  (Diode 1200+-20)
CLK    0.9V  (Diode 1200+-20)

LDO 1.8V    (Diode 400+-20)
LDO 0.8V    (Diode 20+-20)
(ก่อนวางชิป ต้องเช็ค R รอบชิปด้วยว่า ยืดหรือไม่ ค่าต้องได้เป๊ะๆ )

การวัด Voltage วัดจุดทดสอบ กับ ฮีทซิงค์ได้เลย
การวัดไดโอด เปลี่ยนเป็นโหมด Diode รูป Play+ pause โดยจิ้มหลังชิป + สัญญาณแต่ละตัวได้เลย

เริ่มต้น ตรวจสอบระบบไฟ
T17 จะใช้แรงดันของแต่ละโดเมนคือ 1.7 V มี 10 โดเมน
ดังนั้น ที่ขั้ว แรงดันรวมที่เข้าทั้งหมด คือ 17-21Volt ( ตัวบน คือ + ตัวล่างติดพอร์ต IO คือ -)  

เริ่มต้นให้วัดไฟที่ J6-J7 ควรมีไฟมารอที่ 17V (อยู่กลาางบอร์ดเลย เหมือน Cap หายแต่ความจริงมันคือที่ตรวจไฟเลย )

Mosfet 
เริ่มต้น  ไฟมันจะไปรอที่ Mosfet 4 ตัว  คือ Q7 Q8 Q9 และ Q11 (รหัส MDU3603 รุ่นนี้ Mosfet จะอยู่อีกด้าน จะมีชิประบายความร้อนอยู่ โดย Mosfet มันจะรอคำสั่งที่ขา 4 en ด้านล่าง ถ้าไม่ขุดต้องมีไฟ 0V แต่ถ้าขุดต้องมีไฟ 3.3V ส่งมาสั่งให้ Mosfet จ่ายไฟออก)

หาก Mosfet ไม่มีสัญญาณจ่ายไฟ ให้ย้อนกลับไปดู ขาที่ 1 ของ Q10 (Transitor 3 ขาที่รับจาก Pic Chip)  มีไฟ 3.3V หรือไม่ ถ้า Pic chip  ไม่มีไฟ 3.3V มา แสดงว่า PIC Chip  เสีย ให้ลง Firmware ใหม่ หรือ ให้ตรวจขาที่ 6 ด้านบน ว่ามีไฟ 3.3V มาจาก IO Port หรือไม่ โดย Pic Chip ก็จะไปสั่ง Q10 (Transitor (ชิปสีดำ 3 ขา เน้นไปที่ขา en (ขาเดียวๆ) เหมือนกับบอร์ด L3) มันจะเป็นตัวสั่งจ่ายไฟ 17.5 Volt (ขาเดียวของมันคือ เป็น O volt เมื่อไม่มีคำสั่ง และเป็น 3.3 volt เมื่อมีคำสั่งให้ขุด)

(จริงๆ เรื่อง Pic Chip ควรตรวจเจอตั้งแต่ในขั้นตอน Log File แล้ว เพราะจะมีคำว่า ERROR_PIC_LOST นั่นคือไม่ต้องไปใช้มัลติมิเตอร์ก็รู้ตั้งแต่อ่าน Log File แล้ว)

PIC KIT and Pic Chip
โดยปกติ ถ้าเราวางชิปใหม่ เราจะต้อง ลงเฟิมแวร์ใน Rom ใหม่ทุกครั้ง ผ่านเครื่อง PicKit 

ถัดมา  J6 กับ J7 ต้องวัดได้ไฟ 17-21 Volt (ไฟเริ่มต้น) มันจะแยกจ่ายไปแต่ละโดเมนอีกที

Booster (มันเป็นตัว Booster ไฟ ให้ ขึ้นไป 22-23V)

ระบบไฟด้านล่าง
ถ้าแรงดันไฟระหว่างโดเมนมาปกติ ให้เริ่มต้นด้วยการวัดสัญญาณ RI ของแต่ละชิปว่า มีแรงดัน 1.8V หรือไม่ (สัญญาณตัวนี้จะเริ่มต้นที่ชิปตัวสุดท้าย ไล่ไปทีละตัว)

LDO ตัวบน (1.8V) LN1134A182MR (รุ่นนี้ ส่วนใหญ่จะไม่เสีย แต่เสียที่ชิปมากกว่า)
กรณี ไม่มีทั้งโดเมน   หากไม่มีแรงดันไฟทั้งโดเมน เราจะเริ่มต้นการสืบสวนจาก LDO 5 ขา (จะมี 2 ตัว ตัวบน กับตัวล่าง (ตัวบน 0.8V ตัวล่าง 1.8V  

ขาที่ 1. ขาเข้า ต้องมีไฟเข้า 5.1 ( 3x 1.7) เวปเมืองนอกบอก 3.3 V
ขาที่ 2.  ขา Groud
ขาที่ 4. ไม่ได้ใช้งาน
ขาที่ 5. ขาออก ตัวแรกจะมีต้องมีไฟ 1.8V กับ 0,.8V (วัดเทียบบกับหลัง ซิงค์ได้เลย)

ถ้าขา 5 ยังออกไฟ 1.8V ปกติ ให้มาตรวจเช็ก ค่าความต้านทาน และตรวจสอบแต่ละชิป ว่าเสียหรือไม่ (ถ้าชิปเสียต้องถอดเปลี่ยนชิป) 

ถึงตรงนี้จะเห็นว่า โดเมน 9 ก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือ โดเมนที่ 10 ที่ Volt อาจไม่พอ 

การกระโดดข้าม โดเมนก็เหมือนกัน คือ C และ R (อยุ่ด้าน LDO เหมือนเดิม) โดยข้ามที่ 3.3 Volt

LDO ตัวบน SGM1036 (ตัวเดียวกับ S17)
เข้าขา1 3.3V ออกขา 5 0.8V

T17+ จะใช้แรงดันรวมคือ 17.05V แต่ละโดเมนคือ  1.55V (วัดจริงต้องได้ 1.6V)  โดยจะแยกไปที่ LDO (L1134A182MR) จะมี 2 ตัว แยกเป็น ตัวจ่ายไฟ 1.8V กับตัวจ่ายไฟ 0.8 V (SMG2036-ADJYN5G/TR) U117 , U152 (ตรวจไฟจาก Capacitor ตามตำแหน่งด้านล่าง มันง่ายที่สุดแล้ว)


โดยยังคงต้องเช็คสัญญาณ ทั้ง 5 คือ CLK-CO-RI-BO-RST

ยกตัวอย่าง หาก ตัวทดสอบบอกว่า ชิปตัวที่ 3 เสีย  เราจะทดสอบดังนี้

ก่อนอื่นถอด PSU ออกก่อน 
1. ใช้ สีแดงของมัลติมิเตอร์แตะกับ ฮีทซิงค์ และ ขาดำ เสียบทดสอบทั้ง  5 สัญญาณ (สีดำห้ามแตะกับฮีทซิงค์ไม่งั้นอาจลัดวงจรได้)

3.1 กรณี (Asic = 0) 

3.2  ถ้าแหล่งจ่ายไฟจ่ายไฟมาแต่ละโดเมนเป็นปกติ และมีไฟในแต่ละ Domain ก็มาดูที่สัญญาณ RI ของชิปที่ควรจะวัดค่าได้ 1.8Volt (เริ่มวัดจาก ชิปตัวสุดท้าย) ไล่ตรวจไป ถ้าชิปตัวไหนไม่มี ก็ไล่ย้อนกลับไปถึง แหล่งจ่ายไฟ LDO (LDO คือตัวแบ่งจ่ายไฟจากแรงดันไฟฟ้ารวม ให้ไปตรวจ LDO ตัวที่ 1 ก่อนเลย)  ไปถึง Power Supply ไปถึงชิป  ถ้าขาดไฟช่วงไหนเช่น LDO ก็แสดงว่า LDO เสีย หรือ มีปัญหาเรื่องตะกั่ว (ให้ลองใส่ตะกั่วใหม่เข้าไป) หรือทดสอบความต้านทานของชิป 

กรณี Test Point ชิปแล้ว ยังไม่รู้ ให้มาตรวจ ความต้านทานรอบชิปอีกที (เทียบกับบอร์ด) ถ้าความต้านทานปกติ ก็แสดงว่า ชิปนี้มีปัญหาแล้ว ให้เปลี่ยนชิป)

3.3 กรณี สัญญาณ ASIC =7
การอ่านแบบนี้ คือ สามารถพบชิป 7  ตัว และมีปัญหาตัวที่ 8 (อาจเป็นตัวที่ 6 หรือ 7 หรือ 8 ) เราจะเริ่มต้นวัด Voltage ของชิปตัวที่ 7 ทั้ง U198 CLK RST CO ดูว่าแหล่งจ่ายไฟผิดปกติหรือไม่ CLK = 0.8 Volt มั้ย (ถ้าไม่ใช่ ให้ย้อนกลับไปตรวจ แหล่งจ่ายไฟว่ามาถูกต้องหรือไม่ โดยต้องไล่กลับไปที่ LDO ที่เป็นแหล่งจ่ายไฟอีกครั้ง)

บางคนบอกว่า บางทีฮีทซิงค์มันเริ่มหลวม เอามือบีบมันเบาๆ ก็อาจกลับมาได้ หรือให้ดี ให้เอากาวทาใหม่ก็จบ แต่บางคนบอกว่า ชิปมันบักกรีด้วยตะกั่ว Free ทำให้เมื่อมันเก่า มันมีโอกาสแครกสูงให้ลอง ReFlow ดูก่อน

4.Temp Sensor 
อย่างที่บอก Temp Sensor นั้น เป็นปัญหาของรุ่น T17 มันใช้ชิป T451 เพื่อรวบรวมข้อมูลอุณหภูมิ  และการ์ดหนึ่งแผ่นจะมีจำนวนถึง  4 ตัว (ต้องถอดฮีทซิงค์ของชิปออกก่อนถึงจะเห็น) ที่สำคัญคือ ถ้าบอร์ดหา เซนเซอร์ อุณหภูมิไม่เจอ การ์ดจะไม่ทำงาน 

วิธีวิเคราะห์ปัญหานี้คือ เมื่อดูหน้า Status จะไม่เห็น อุณหภูมิ และ เมื่อดู Kernel Log จะแจ้งเลยว่า ไม่พบอุณหภูมิ read temp sensor failed 

แต่ประเด็นนี้ บางทีช่าง ถอดเปลี่ยนชิปอุณหภูมิก็ไม่ช่วยอะไร เพราะชิปไม่ส่งสัญญาณอุณหภูมิออกมาอยู่ดี ที่สำคัญ ส่วนใหญ่เกิดจากชิป U1 หรือแรงดันชิปตัวสุดท้ายตก (หรือชิปแฮชไม่แนบไปกับซิงค์ และไม่ส่่งค่าอุณหภูมิให้ Temp  Sensor มากกว่า) 

หรือ บางทีอาจต้องอัพเฟิมแวร์ของ hashboard เพื่อแก้ปัญหานี้  นอกจากนี้ การสลับบอร์ด ไปมา (ค่า Volt จะไม่เท่ากันทุกบอร์ด) ทำให้ ข้อมูลอุณหภูมิถูกเก็บต่างกันอีกด้วย

ประเด็นปัญหาที่แท้จริง ของ T17  คือ ตะกั่วที่บริษัทผลิตมาไม่มีคุณภาพ เพราะเป็นตะกั่วไร้สารตะกั่ว ทำให้มันมีปัญหา เกิดฟองอากาศและรอยแตก ทำให้ไฟในชิปเดินไม่ปกติ ( ปัญหานี้เกิดทั่วไปในวงการอิเลกโทรนิกส์ทั่วโลกในยุคนั้น) ถ้าจะถอดต้องใช้ Flux ที่ไม่ต้องทำความสะอาด (No Clean)  แต่แนะนำให้ ReBall  ด้วยปืนความร้อน 350-380 องศา ก่อนจะดีกว่า)

แต่สิ่งแรกที่แนะนำคือ เปลี่ยน พัดลมเป็น Delta 2.6A ทั้ง 4 ตัวจะดีกว่า นอกจากลดการสั่นแล้ว ยังเย็นกว่าด้วย



ตำแหน่ง Temp Sensor ที่ Log มักรายงานว่าเสีย

 
        ชิป 2 ตัวนี้ที่แนะนำให้เปลี่ยน


T17+
ก่อนอื่น เส้นลวดเหล็กที่เป็นตัวรับไฟ ตัวนี้ต้องสะอาด และ ป้องกันหลีกเลี่ยงการลัดวงจรระหว่างซ่อมบำรุง  เพราะมีกระแสไฟสูงถึง 21V

ประเด็นสำคัญของ T17+ คือ แฮชบอร์ดนั้นมีหลายรุ่น ดังนั้นจะลงเฟิมแวร์ต้องดูให้ดี ว่า ถูกตรงรุ่นหรือไม่

*** ห้าม OC เกิน 800 เด็ดขาด มีคนเสียทันทีเพราะมันมาแล้ว**

1. ให้ไปตรวจที่ LDO ก่อนว่า จ่ายไฟ 1.8V และ 0.8V หรือไม่ หากผิดปกติ ให้ย้อนกลับไปตรวจที่ วงจร Booster โดยวงจร Booster จะจ่ายไฟมาที่ 23V
2 ถ้าชิปไม่สมบูรณ์ ให้ ถอดมาบักกรีใหม่ หรือ เขียน Firmware ใหม่ (ต้องใช้ ไฟล์ Hex กับเครื่องมือ PicKIT3)  รวมไปถึงตรวจสอบ Mosfet ว่า มีลัดวรจรหรือไม่ 

ห้ามสลับบอร์ด
สิ่งสำคัญที่หลายคนมักจะพลาดคือ เมื่อเอา การ์ดอื่นมาเสียบแทนการ์ดเดิมของ Series ตั้งแต่ 9 ขึ้นไป (จริงๆ Hash Board จะถึงแค่ S9i คือ S9 กับ S9i ถึงจะสลับกันเครื่องกันได้)  มันห้ามเสียบข้ามเครื่องกัน ยกตัวอย่างตามรูป  คือ แม้แต่รุ่นเดียวกัน แต่คนละ ซีรียส์ ก็เสียบข้ามไม่ได้ 

ดังนั้น ถ้าถอดออกมาเพื่อทำความสะอาด เราแนะนำว่า ให้ทำทีละเครื่องเท่านั้น ห้ามทำหลายๆ เครื่องพร้อมกัน เดี๋ยวจะพลาดสลับบอร์ดได้ ทำให้ การ์ดบางการ์ดไม่ทำงานได้



การติดฮีทซิงค์สำหรับรุ่นนี้
1. ทำความสะอาดทั้ง 2 ด้าน (ถ้ามีฟลักซ์เก่า ต้องทำความสะอาดให้หมด ซิงค์ก็ใช้มีดขูดออกให้หมด แล้วใช้โซเวลท์ทำความสะอาดอีกครั้ง) 
2. เอาตะกั่วไลท์บนซิงค์  (ต้องใช้ตะกั่วน้อยมากๆ ไม่งั้นมันจะไหลไปโดนขาได้ ตรงนี้ยากมากๆ และต้องวางให้ตรง ไม่งั้น ตะกั่วจะไหล แล้วใช้ปืนความร้อนตั้งที่ 350 แล้วเป่าให้ทั่ว )
3. ฉีดฟลักซ์ เล็กน้อยลงบนชิป (นิดเดียวจริงๆ)

Firmware 
แนะนำให้ใช้ Firmware 
thierry4wd (Djay)      สามารถลดลงได้ถึง 1500W เลยทีเดียว และไปได้สูงสุดถึง 80 Th โดย Dev Fee 2%
 Asic.To จะสามารถ Downvolts to 1900w at 42th/s  และได้ 42.5w/ths (มันไปได้ไกลถึง 65Th เลยทีเดียว) แต่มันคิดค่า Fee 2.8% เลยทีเดียว
Awesome Miner 
ค่า Dev Fee 1.8-2.8%

T17+ สเปค
การด์ใช้ชิป BM1397 (ต่างกับ T17 เป็น BM1387)  44 ตัว มี 11 Voltage Domains และแต่ละ Domain มี 4 Chips

2) The working voltage of the BM1397 chip used by T17 + is 1.55V, and the chip is equipped with LDO to supply VDDIO 1.8V, VDDPLL 0.8V power supply.

3) The T17 + clock is a 25M crystal oscillator, which is transmitted in series from the first chip to the 44th one.


PSU APW9 and APW9+
วิธีสังเกต คือ ข้าง 6 Pin APW9+ จะมีรู 2 รู  แต่ทั้ง 2 รุ่นแม้จะเหมือนกันในทางกายภาพ และอิเลกโทรนิกส์ แต่จริงๆ แล้วพวกมันใช้แทนกันไม่ได้ เพราะ PIC Control ที่ถูกโปรแกรมมาต่างกัน ดังนั้น ต้องใช้ PICKIT มาก็อปปี้ใส่ ถึงจะแปลงไปมาได้ 

มันคือ PSU คุณภาพสูง ที่จ่ายไฟเข้า (2 เส้น) แต่รวมกันเป็น เส้นเดียว และแตกออกมาเป็น DC 2 เส้น
เส้นแรกคือ 14.2-21Volt  สูงสุดที่ 170 A หรือ 3600W (เป็นแบบปรับค่าไฟได้ ถูกควบคุมโดย PIC และสื่อสารกับ ตัวขุด เส้นนี้ ควรวัดไฟให้ได้ที่ 21.32Volt )
เส้นที่สอง คือ 12 Volt สูงสุดที่ 12A (เป็นแบบปรับค่าไฟไม่ได้)

เส้นแรกแยกเป็น 3 ส่วน
1A - The first AC input and EMI circuit  (ต้องมีไฟเข้าที่ 220V)
1B - PFC and MOS circuit
1C - 12V auxiliary circuit and VCC circuit
เส้นที่ 2 แยกเป็น 4 ส่วน
2A -  2nd AC input and EMI circuit
2B - PFC and MOS circuit
2C - 12V auxiliary circuit and VCC circuit
2D - 12V output port and PIC communication port (Output ของ 12Volt ต้องมีไฟ 12A ตลอด)

พัดลมจะใช้เบอร์ 4028

วิธีการตรวจสอบ APW9
1. ตรวจสอบด้วยสายตา มีอะไรผิดปกติหรือไม่ พัดลมทำงานรึเปล่า (ถ้าพัดลมไม่ทำงาน ให้ตรวจไฟ 220V ก่อนทำอย่างอื่นเลย)
2. เสียบไฟ 220V แล้วตรวจว่า มีไฟ 12V ออกหรือไม่ (ตรวจแล้วต้องได้ค่า 12.1-12.5V)  ถ้าไม่มี เริ่มแรกให้ตรวจ ไฟเข้าต้องมากกว่า 205V  หรือ อาจมีวงจรช๊อตได้)
3. กรณี  PSU เปิดๆ ปิดๆ ให้ตรวจ อุณหภูมิก่อนเลย เช่น พัดลม  และ ฝุ่นให้ทำความสะอาดก็เพียงพอแล้ว
4. เปิดเครื่องมา ตรวจสอบ ตัวเก็บประจุ มีระเบิดหรือไม่ เพราะกระแสจะไม่นิ่งถ้า Cap ไม่นิ่ง รวมถึงตรวจสอบฟิวส์ก่อนเลย
5 เปิดเครื่องแล้ว เครื่องรันปกติ แต่พัดลมไม่หมุน มีโอกาสที่ สัญญาณจากเครื่องขุด หรือ พัดลมเสีย
6 เปิดแล้วไม่ติด ให้ตรวจรระบบ OverCurrent เป็นหลัก 


อะไหล่ T17 สั่งกับ Virat Lee
NCP1654BD65R2G  30บาท
-MP1517DR-LF-Z 70 บาท
-Inductor 100 12 บาท
- cap 330uf 30V 10x12mm 30 บาท
- cap 330uf 2V SMD  22 บาท
-MBR0540 5 บาท
-2N7002 5 บาท
-MDU3603 
-SN74LVC1T45DBVR 18บาท
-SGM2036-ADJYN5G/TR 5 บาท

วิธีการ ติดซิงค์ แนะนำให้ติดด้วย กาว  Arctic Silver หรือ Arctic Alumina ราคาค่อนข้างแพง เดิมที่มาจากโรงงานคือ ตะกั่วบักกรี ที่ทนอุณหภูมิได้ไม่เกิน 135C เท่านั้น (ขณะที่เราเตือนคุณก่อนว่า การใช้กาวดำ ใน L3+ และ S9 มาใช้นั้น เนื่องจากกาวระบายความร้อนได้ไม่ดีพอ ทำให้ ชิปเสียมาเยอะแล้ว)

*** ตัวชิปมุมล่าง มักจะถูก Burn เสมอ เพราะเป็นมุมอับ

ที่สำคัญคือ ต้องดูให้ดีว่า ชิปหลุดจากบอร์ด หรือ ซิงค์หลุดจากชิป ประเด็นนี้หลายคนตกม้าตายมาเยอะ

กรณี บอร์ดตาย 1 ตัว
1.1ให้ลองสลับสายสัญญาณเสียบ เพื่อยืนยันว่า Control Board ของ T17 หรือ สายไม่เสีย 
1.2 ให้ลองขัดน๊อต และขยับสายเสียบสายไฟอีกครั้ง ทั้งฝั่ง PSU และฝั่ง Hash board ให้ดีอีกครั้ง
1.3 การอบการ์ด หรือ แช่ในตู้เย็น ก็มีคนสามารถซ่อม T17 สำเร็จมาเยอะแล้ว (20%)

กรณี ชิปเสีย เปลี่ยนไปเรื่อยๆ 
เกิดจากการกินกระแสที่หนัก และทำให้แรงดันผันผวน (ให้สังเกตุ การกินกระแส เวลาขุด ประมาณ 5 แอมป์) แต่บอร์ดที่เสียจะกินกระแสสูง 7 -10 แอมป์ (กรณี นี้อาจะเป็นที่ชิปช๊อต แต่มันจะต่างกัน ตรงที่ เปิดเครื่อง จะกิน 10 แอมป์เลย ) หากเป็นค่อยๆ เพิ่มการกินกระแส  (อาจารย์ใบ้ว่า มันคือตัวที่สั่ง PIC ให้ปรับไฟขึ้นลง)

กรณี ชิปเป็น 0 ส่วนใหญ่เกิดจาก Booster ที่มีแรงดันต่ำเกินไป (อย่าลืมว่า ต้อง 24 V )



Fix ASIC102 : ซ่อม T17e

 T17e

Download
คู่มือภาษาอังกฤษ  file Hex

ปัญหาประจำรุ่น Series 17
เนื่องจาก การบัดกรีและกาวยึดติดซิงค์ที่ไม่ดี ส่งผลให้ฮีตซิงก์คลายตัว และส่งผลต่อ ไฟฟ้าลัดวงจร ชิปไหม้ และ แฮชบอร์ดล้มเหลว

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ชิปมีโอกาสถูกเบิร์น จาก ตะกั่วที่ไม่ได้คุณภาพสูงมาก อย่างไรก็ดีการยกชิป และวางชิป แม้จะเป็นการซ่อมที่ดี แต่มันก็มีค่าใช้จ่ายสูงมาก

อีกประเด็นคือ การสลับการ์ด  เครื่องแต่ละเครื่องนั้น ไม่ควรสลับการ์ดกับเครื่องอื่น แต่หากจำเป็น ก็สามารถแฟลชเฟิมแวร์ก็ช่วยเรื่องนี้ได้

แต่ปัญหาที่แท้จริง  ดังนั้น Series 17 ทั้งหมดมีการแปลงไปใช้ ซิงค์แบบของรุ่น S19 (อันนี้ต้องทำที่จีน เพราะมีการถอดซิงค์ ถอดชิป เจาะรู  แล้วประกอบใหม่ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่แพงมาก แต่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด


Control Board 
รุ่น T17e จะใช้ Control Board ตัวเดียวกับ S17+ , T17+, S17e และ T17e แต่มันจะใช้ไม่ได้กับ S17 , S17 Pro และ T17 (T17 ไม่มี Pro) นอกจากนี้ Power Suppy  ก็แยกกันเช่นกัน กลุ่มแรกจะใช้รุ่น APW9+ กลุ่มหลังจะใช้รุ่น APW9 (ห้ามใช้สลับกันเด็ดขาด)

ปัญหาที่ Control Board

กรณี  เปิดแล้วไม่ทำงานเลย

กรณีที่ 1   ถ้าพัดลมไม่ทำงานเลยสักตัว นั่นคือ PSU ไม่ทำงาน หรือไม่จ่ายไฟ (ให้ชัวร์ให้ใช้มัลติมิเตอร์ตรวจที่ฝั่ง PSU เลย) แบบนี้ แก้ไขได้โดย การเปลี่ยน Power แล้วลองอีกครั้ง

กรณีที่ 2
  เปิดแล้ว พัดลมไม่ทำงาน เช่นกัน  หรือ พัดลมทำงาน แต่ระบบไม่ขุด  กรณีนี้ ให้ลองเข้า Kernel Log แล้วลองหาคำว่า fan_speed =0 (มี 4 ตัวต้องเจอทั้งหมด) ถ้า Detect พัดลมไม่เจอ มันจะไม่เริ่มตรวจชิป แก้ไขด้วยการเปลี่ยนพัดลม ตอนแกะเครื่องระวังอย่าให้น๊อต หรือ ไขควง ตกลงไปกระแทบ Control Board ไม่งั้น อาจเสียหายได้

กรณีที่ 3 พัดลมทำงานแล้ว แต่ไฟ Control Board กลับไม่มีไฟ เกิดได้ 2 กรณี คือ 
อย่างแรก CPU เสีย (ไม่คุ้มที่จะซ่อม)ให้เปลี่ยน Control Board 
อย่างที่สองคือ คือ สาย Power 6 Pin หรือ สายสัญญาณ (ระหว่าง Control Board กับ PSU ) อาจขาดใน (แนะนำให้หามาเปลี่ยนให้เรียบร้อยก่อน)  ถ้าเปลี่ยนแล้วยังเหมือนเดิม ให้เดาก่อนเลยว่า CPU เสีย

Hashboard  T17e
ภาพรวม

1 บอร์ด จะมี ชิป BM1396AB  ทั้งหมด 78 ตัว โดยมี 13 Voltage Domain โดเมนละ 6 ตัว  

ประเด็นที่แตกต่างกันในแต่ละการ์ด คือ  (ดูได้ใน Kernel Log) 
1. temp sensor จะมี 2 รุ่น คือ  NCT218 และ  TMP451
2. ตัวชิป แม้จะเป็น BM1396AB แต่การ์ดกลับระบุต่างกันคือ A3V1 (ตัวแรกจะกินไฟที่ 18V) กับ A4V4 (ตัวหลังส่วนใหญ่จะต้องจ่ายไฟที่ 18.40V มันเป็นประเด็นคือ มันใช้แรงดันไฟเยอะกว่า นั่นเอง) 



ระบบไฟรวมดังนี้
ไฟเข้าที่ DC Socket ( สายลบ - จะอยู่ติดกับ IO port    ส่วนสายบวก + แรงดันไฟจะต้องจ่ายมาที่ 18-21Volts)

Mosfet 
ไฟจะวิ่งมารอที่ Mosfet เพื่อรอ สัญญาณ en เพื่อเปิดสะพานไฟ (วัดช๊อต ตามรูปด้านล่าง)

ระบบไฟ เริ่มต้นจาก 18-.21V  จ่ายไฟแยกเป็น 2 สาย ดังนี้
1. DC-DC ปกติจะจ่ายไฟให้ ออกที่ 21V แยกไป 13 Domain  (18V/13) จะได้โดเมนละ 1.35-1.4 V

จิ้มคล่อมซิงค์ได้เลย ขณะที่ตรวจโดเมนแรกกับสุดท้าย จะต้องได้ 17.35-21V  โดยแรงดันไฟฟ้าแต่ละ Domain ต้องต่างกันไม่เกิน 0.2Volt หากต่างกันเกิน แสดงว่า โดเมนที่ต่างนั้นมีโอกาสเจอชิปเสีย 

2. Booster ไฟเข้าที่ 21V ออก 24.5V  เพื่อแจกไป 2 Domain สุดท้าย 


ไฟสำหรับ T17e จะเข้าที่ 18- 21 Volt ไฟระหว่าง Domain คือ 1.35-1.4 V (จิ้มคล่อมซิงค์ได้เลย ขณะที่ตรวจโดเมนแรกกับสุดท้าย จะต้องได้ 17.35-21V  โดยแรงดันไฟฟ้าแต่ละ Domain ต้องต่างกันไม่เกิน 0.2Volt หากต่างกันเกิน แสดงว่า โดเมนที่ต่าง มีโอกาสเจอชิปเสีย

LDO สำหรับ T17e จะใช้ LDO 2 ตัว ต่อ 1 Domain เพื่อจ่ายไฟ 1.8V กับ 0.8V (ขณะที่ L3+ใช้ R แบ่ง แต่ T17e จะใช้ LDO แยกจ่ายไฟไปเลย)

LDO ตัวแรก U131 มี 9 ขา MP2019 รับไฟจาก Booster 2.4V ที่ขา 1 และออกที่ขา 4 1.8V


กรณี ตรวจพบ  0 ASIC (ระบบจ่ายไฟน่าจะมีปัญหา) 
1. ตรวจสอบตรงที่ วงกลม ตามรูป ว่า ไฟเข้าหรือไม่
R55  10K               C44  110nF 50V
R56  270                
C30  22nF 50V


2. ตรวจสอบ Mosfet 4 ตัว (Q1 Q2 Q3 Q4)
Mosfet 4 ตัวรหัส TPHR9003NL (เสปคคือ เข้าไม่เกิน 30V (มันจะรับ 17-18V ออกไม่เกิน 20V (ออก 17-18V เช่นกัน)

โดยเฉพาะ การวัดว่ามันช๊อตรึเปล่า ค่าแรงต้านทาน ของขา 1 4 8  มันจะแยกจ่ายไปแต่ละโดเมน ว่าจ่ายไฟออกถูกต้องหรือไม่  (17-18V) ถ้ามาถึงตรงนี้ แสดงว่า มันจ่ายไฟไปแต่ละโดเมน และ Booster ได้แล้ว

กรณี Mosfet ไม่จ่ายไฟ
3. ตรวจสอบ PIC Chip (U3 , PIC16F1704-1)
ขา 1 รับไฟเข้า 3.3V
ขา 2 ขา en รับไฟเข้า 3.3V เช่นกัน (ถ้าไม่มี แสดงว่า ไม่มีสัญญาณสั่งให้ทำงาน)

ถ้าไฟ Mosfet ไม่จ่ายออก ให้กลับมาดู ว่า ขา en ของ pic ทำงานรึเปล่าด้วย ถ้าไม่ทำ ให้แฟลชไบออสใหม่

โดยในโปรแกรม PicKit ก็ให้เลือก Power>> Power Taget Curcuit from tools 
ส่วน Operate >>  Chip >> PIC16F1704 

4. ตรวจสอบวงจร Booster 

ไฟเข้า 17-21V  ออก 24.5V  เพื่อไปจ่ายไฟให้ 2 โดเมนสุดท้าย โดยให้ตรวจสอบ D5/D8 (หาไม่เจอ อยู่ตรงไหน) ในวงจร

ชิปดำ 16 ขา  U6 คือ ชิป MP1517DRQFN-16   25V 3a 
ส่วน   Diode  D4 คือ ชิป MBR0540 เป็น Diode  40V 0.5a
สิ่งสำคัญคือ  R61 300k (Rfb), R60 10k  R62 20K  C62 10nF/50V และ  R64 15k(Rfb)

หลักๆ จะจ่ายไฟไปที่ 1.8V 



5. ตรวจสอบ LDO ของแต่ละ Domain
LDO แบบ 8 ขา U131 MP2019GN     ไฟเข้า  2.4V (กระจายกันเข้า) แต่จะมีไฟออกที่ขา 1  1.8V
LDO แบบ  6 ขา U112 U113  SY812G (ไฟเข้าขา 5 ) ออก ขา 1 แรงดัน  1.8V เพื่อจ่ายไปให้ LDO 5 พินตัวถัดไป
LDO แบบ 5 ขา U25 U26 U27 U8 U9 SGM2036  ไฟเข้าขา1 2V    ไฟออกที่ขา5 0.8 V
R1003 or
R

ชิป 8 ขา

 ชิป 5 ขา เข้า 3-4.5V ออก0.8V

 ชิป 5 ขา เข้า ??V  ออก0.8V


(ถ้าไฟไปไม่ถึงชิป ไม่ว่าจะ 1.8 หรือ 0.8V มันจะไม่มีสัญญาณ  CO CLK
โดยสามารถวัดแรงดันไฟที่ส่งให้ชิปแต่ละตัวได้ตามรูป ด้านล่าง
    

6. กรณี เกิดปัญหาที่ Temp Sensor 
ต้องตรวจสอบ การเดินไฟ และ ตะกั่ววางชิป ให้ดี

7. ตรวจสอบภาคสัญญาณ


ชิปดำๆ  2 ตัวเป็นตัวรับส่งสัญญาณ ของ CI และ RI ก่อนส่งผ่านให้ IO Port

1. CLK  เริ่มต้นจาก Oscilator 25M (Y1)  จากชิปตัวที่ 1-44 วัดค่าจะต้องได้ 0.7-0.9V
2. TX สัญญาณเริ่มที่  ขาที่ 7 ของพอร์ต IO (3.3V) วิ่งไป แปลงสัญญาณที่ U2  (คนไทยเรียก buffer) แล้ววิ่งไปที่ ชิปตัวที่ 1-78  วัดตอนไม่ทำงานจะต้องได้ 0V เมื่อทำงานต้องได้ 1.8V
3. RX สัญญาณเริ่มที่  ชิปตัวที่ 78 -1 กลับไป  ขาที่ 8 ของ U1 (Buffer)  เมื่อไม่ได้เสียบ IO จะวัดได้ 0.3V เมื่อเสียบจะวัดได้ 1.8V
4. BO จะวิ่งจาก ชิปตัวที่ 1 ไปถึง ตัวที่ 44 วัดได้ 0V
5. RST จะวิ่งจาก IO วิ่งไปชิปตัวที่ 1-78 วัดได้ 1.8V

ดังนั้น ถ้าชิปตัวแรก บักกรีมาไม่ดี มันมีโอกาสที่จะโชว์ ASIC=0 ด้วย

แผงควบคุม
จะเกิดกรณี hashboard ทั้งหมดไม่ทำงาน 








และตรวจสอบค่า R รอบ พอร์ต



กรณี เห็นการ์ดบางใบ ASIC =0 
เมื่อ Kernel Log เริ่มทดสอบ จำนวนชิปของแต่ละบอร์ด 
(Chain 0 = บอร์ดที่ 1
Chain 1 = บอร์ดที่ 2
Chain 2 = บอร์ดที่ 3) 
เราแนะนำว่า ถ้ามีปัญหา 1-2 บอร์ด ให้ดึงบอร์ดที่ดีออกก่อน เผื่อว่า ไฟมันจ่ายไม่พอ ทำให้บอร์ดที่ดีกลายเป็นบอร์ดเสียไปได้

อีกกรณี คือ หา IP ไม่เจอ แยกเป็น 2 กรณี ย่อย
1. สายแลนไม่ดี  
2. CPU เสีย (ไม่คุ้มที่จะซ่อม) ให้เปลี่ยน Control Board ใหม่)

สุดท้ายคือ 
หายังมีปัญหา ให้ลง Firmware ใหม่(แนะนำให้ลง แบบ SD Card เพื่อล้าง Memory ไปในตัวเลย) 
แล้ว Setting เป็น Normal Mode (เพราะหากไปตั้งค่าเป็น Sleep Mode บางทีมันอาจไม่ทำงาน)

รายการอะไหล่ 
อะไหล่T17&S17
MP2019GN 65บาท                        LDO 8 ขา
SGM2036-ADJYN5G/TR 5 บาท   LDO 5 ขา
NCP1654BD65R2G  30บาท
-MP1517DR-LF-Z 70 บาท   ชิป  Boosetr
-Inductor 100 12 บาท
330uf 30V 10x12mm 30 บาท
-MBR0540 5 บาท            Diode Booster 
-2N7002 5 บาท
-MDU3603 18 บาท
-SN74LVC1T45DBVR 18บาท

-330uf 2V SMD cap. 22 บาท
Inductor 100&220 ตัวละ12
DS pic 33ep16 18206EV 75บาท

รวม Kernel Log 
thread.c:309:is_temp_reopen_core: current chip max temperature(86) is too high, >= 86
อุณหภูมิร้อนเกิน 85 C


check_adc_voltage: FAIL domain volt check: chain 1 domain 11 volt 0.000 less then request 0.800 (index 0)
มีปัญหาจ่ายไฟ การ์ดที่ 2 (Chain 1) โดเมนที่ 12 (เวลานับ มันนับ Domain 0 คือ Domain ที่  1 ดังนั้นถ้าเป็น Kernel Log ระบุเป็น Domain 11 ต้องเป็น โดเมนที่ 12 แต่ประเด็นคือ โดเมนที่ 12 -13 คือ 2 โดเมนสุดท้ายที่รับไฟจาก Booster นั่นคือ ไม่ LDO (LDO ก็มี 2ตัว) ก็ Booster เสียนั่นเอง 

-------------------------------
2022-02-17 16:48:50:auto_adapt.c:100:_get_board_info: chain[0] board bin: 1, chip bin: 4, chip ft: A3V1, chip version: AD
2022-02-17 16:48:50:auto_adapt.c:100:_get_board_info: chain[1] board bin: 1, chip bin: 4, chip ft: A3V1, chip version: AB
2022-02-17 16:48:50:auto_adapt.c:100:_get_board_info: chain[2] board bin: 1, chip bin: 3, chip ft: A4V4, chip version: AB
2022-02-17 16:48:50:driver-btm-api.c:2164:get_calibration_voltage: calibration voltage flag is error data.
2022-02-17 16:48:50:driver-btm-api.c:486:check_chain_conf_same: Config are different, min = 1760, max = 1840,  diff is too large.
2022-02-17 16:48:50:auto_adapt.c:273:is_sweep_failed_before: open sweep tag failed
2022-02-17 16:48:50:driver-btm-api.c:247:set_miner_status: ERROR_SOC_INIT
----------------------------
เคสนี้ เกิดจาก การ์ดแตกต่างกันมากเกินไป ทำให้ จ่ายไฟต่างกันมากเกินไป โดยเฉพาะการ์ด 3 (ที่เพิ่มเข้าไป) Chain 2 มันใช้ชิป A4V4 ต่างจาก 2 การ์ดแรกที่ไม่เสีย คือ A3V1 


การใช้ PSU ผิด เช่น ใช้ APW9 กับรุ่น S17e หรือ T17+
--------------------
power_api.c:245:power_init: power type version error
--------------------
power_api คือ การสื่อสารกับ PSU ที่ผิดพลาด นั่นคือ อาจใช้รุ่นผิด





 

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2565

Fix ASIC 101 : รวม Spare Part สำหรับงานซ่อม

Spare Part

รายชื่อชิปทั้งหมด

L3+                        BM1485

A3                          BM1730

Series 9                  BM1387B

Series 11                 
BM1387BF

S15 T15                  BM1391AE

S17e T17e             BM1396AB

S17 S17+ S17pro BM1397 AD AG AH AI

หมายเหตุ คำอธิบายเกี่ยวกับ ชิป BM1397 ทั้งหมด 

ชิป BM1397  7nm ที่ใช้กับ Series 17 ได้จะมี 4 รุ่น ดังนี้

BM1397AD ถือเป็นชิปรุ่นดั้งเดิม ของ Series BM1397 โดย Bitmain เริ่มใข้ใน T17, S17 และ  S17 Pro นั่นคือ หากใครใช้การ์ดรุ่นแรกๆ อาจะไม่มีการระบุรุ่นใดๆ มันหมายถึง ชิปรุ่นนี้นั่นเอง

BM1397AG มันถูกพัฒนาเพิ่มขึ้นเพื่อ เพิ่มความยืดหยุ่นด้านความร้อนให้มากขึ้น ใส่ครั้งแรกในรุ่น T17+ และ S17+  แต่ก็เริ่มพบเห็นในได้ในรุ่นเก่าๆ อย่าง  T17, S17 และ S17 Pro  บ้าง โดย Bitmain ทำมาเพื่อหวังเพิ่มจำนวนชิปบนบอร์ด 

BM1397AH จะมี บอร์ดบางรุ่นใน  T17, S17 และ S17 Pro ก็ได้ใช้ชิปรุ่นนี้ แต่ชิปรุ่นนี้กลับมีประเด็นคือ แม้ว่า มันมีความเสถียรเพิ่มขึ้น แต่ มันกลับกินไฟมากกว่ารุ่นเก่าๆ และเป็นเหตุผลให้ไฟจ่ายไม่พอ  ชิปรุ่นนี้เองที่เมืองนอกถือว่า หากมีการยกชิป/วางชิป ไม่ควรใช้รุ่นนี้ เพราะมันกินไฟต่างชิปตัวอื่นจะเกิดปัญหาได้ และไม่ควรสลับบอร์ด

BM1397AI ชิปรุ่นนี้ ถือเป็นชิปตัวล่าสุดของชิปตระกูลนี้ และถือเป็นชิปที่ช่างควรเปลี่ยนให้ลูกค้า เพราะมันเหมาะกับ Series 17 ที่สุด (ยกเว้น T17e และ S17e)  และมันถือได้ว่าเป็นชิปที่เสถียรที่สุดแล้ว

S19 S19pro           BM1398



อะไหล่  L3+
Pic Chip L3+  
รหัส PIC16F1704 (ตัวละ 100 บาท)

Capacitor 5 ตัว 16v 1000uf ขนาด 10x13 (12)  mm 

(การวัด ด้วยมัลติมิเตอร์ ต้องตั้งที่ 2000 จิ้มสลับกัน ถ้าสลับแล้วเก็บประจุได้ ก็ น่าจะเพียงพอ (อันนี้จะยังไม่คอนเฟิมว่า เสื่อมขนาดไหน แต่คอนเฟิมว่า ยังเก็บได้)

IC Drive (ใน DC-DC)  คือ   IC Power stead (u73) LTC3807EUDC  ไทย ราคาตัวละ 680 บาท  

Mosfet (สะพานไฟ) (ชิปสีดำ 8 ขา 3 ตัว) รหัส 0901NS หรือ MBR540   จีน ตัวละประมาณ 25-30 บาท ไทยตัวละ 350 บาท

Capacitor 2 ตัวบน 10V(C948) และ 12V (C943) แบบเซรามิก 22uf 25V ไทยตัวละ 24 บาท
HXX40A/1.5uH สำหรับ L3+ &S9ราคา 120 บาท

Capacitor ด้านหลัง 
C998-1021 (แบบกระป๋อง) 330uF 2.5V
SMD (อีเลกโตรไลท์ กระป๋อง รหัส ECY04 330uf V2  จีน ตัวละ 5 บาท
แบบแทนทาลัม C998-1021 Low Profile จีน ตัวละ 25 บาท

Capacitor สำหรับข้ามโดเมน 

DC-DC ชิปสีดำ LM27402s ไทย ตัวละ 150 บาท

ภายในวงจร  Booster
RT8537gqw (U111)  ตัวดำๆ เล็กใน Booster (ที่เสียบ่อย) 120บาท

LDO หรือ Low Dropout Linear Regulation (มันทำหน้าที่ ลดแรงดันลงให้คงที่ ในที่นี้คือ ไฟเข้าต้องมากกว่า 2.0-6.0V แต่ไฟจะออกที่ 1.8V) 
มี 3 รุ่น
รวมๆ ไทย (ตัวละ 140 บาท) จีนตัวละ 15 บาท
รหัส 4VK4 (สำหรับ 1-10 Domain แรก)
รหัส G49HJ (สำหรับ 11-12 Domian สุดท้าย) 
รหัส DD7R (???)

Oscillator 25 MHz

Temp Sensor  TMP451AIDQFR ไทย ราคาตัวละ 250 บาท)

มักมีคำถามว่า การ์ด hash board ของ L3++ ใช้แทนกับ L3+
มันสามาถใช้แทนกันได้ เพราะความจริงมันคือ รุ่นเดียวกัน แต่ทาง Bitmain แต่ได้เปลี่ยนแค่ Capacitor ไปเป็นแบบแทนทาลั่ม และเพิ่มความสูงของซิงค์แค่นั้น (โดยที่ L3++ มันคือ Version 1.5 ขึ้นไปนั่นเอง)


T17 , T17e

T17  Pic Chip 28 ขา รหัส dsPIC33ep16
T17e  Pic Chip 14 ขา  รหัส PIC16F1704

T17 Mosfet 4 ตัวบน  MDU3603 
T17e Mosfet 4 ตัวบน  TPHR90

T17  ชิป Booster MP1517DR-LF-Z 70 บาท
T17e ชิป Booster MPSK17 1517DR -377929 
(ความจริง แล้วเขาบอกว่า เบอร์เดียวกันคือ 1517DR

NCP1654BD65R2G ชิป 8 ขา 30บาท

-Inductor 100 12 บาท

330uf 30V 10x12mm 30 บาท

-MBR0540 5 บาท

-2N7002 5 บาท

-MDU3603 

-SN74LVC1T45DBVR 18บาท

-SGM2036-ADJYN5G/TR 5 บาท
Inductor 100&220 ตัวละ12
-330uf 2V SMD cap. 22 บาท

LDO มี 2 ตัว
 (SOT-23-5)มีจุดคือขาที่ 1 นับทวนเข็ม (ต่างกับ L3+ ตรงที่ L3+ ใช้ LDO ตัวเดียวแล้วใช้ R แบ่งไฟออกเป็น 1.8 กับ 0.8 แต่ T17 จะใช้ LDO แยกจ่ายไปเลย เพราะกระแสสูงกว่ามาก ทำให้ LDO มันไม่ค่อยเสีย 
T17
ตัวบน 5 ขา    1.8V   รหัส  LN1134A182  หรือรหัส 4VK4 เหมือน L3+)  
ตัวล่าง 0.8V รหัส  SGM2036 
T17e
LDO ตัวสุดท้าย ชิป 8 ขา    1.8V  รหัส  MP2019GN ( ขาเข้า ขา 1 3-40V ขาออก 1.25-15V )
มันเป็นตัวหลักในการจ่ายไฟ 3 ชุดหลัง (สำหรับ S17+) และ 2 ชุด สำหรับ T17e
ตัวล่าง 0.8V รหัส  SGM2036 


บทเรียน พื้นฐานการซ่อม ASIC (ทางทฤษฎี)
Fix ASIC 101 :  บทที่ 1 การตรวจสอบ Kernel Log และ ASIC Status และการซ่อมด้วยตัวเอง 
Fix ASIC 101 :  บทที่ 2 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Domain Voltage
Fix ASIC 101 :  บทที่ 3 วิธีการใช้งาน PICKIT3.5




     

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2565

Fix ASIC 101 : วิธีการใช้งาน PICKIT3.5

วิธีการมใช้งาน PICKIT 3.5 สำหรับ การ์ด hash board ของ L3+


Download Program



ทำไมเราต้องใช้ Pic Kit ในการเขียนโปรแกรมลงใน Hash Board  มันเปรียบเสมือน การเขียนโปรแกรมลง Controller ฺBoard นั่นเอง 

ขอเริ่มต้นด้วยการอธิบาย   ภาพการทำงาน (ในที่นี้ จะยก ภาพการสั่งงาน ของ Series 17 มาอธิบาย แต่ความจริง ทุก Hash Board จะมีการรับส่งงาน 


จะเห็นว่า Control Board (สีฟ้า) จะเป็นตัวควบคุมทุกอย่าง ซึ่งอันนี้เราจะเขียนโปรแกรมลงด้วย Firmware ไม่ว่าจะใช้ Update ไฟล์ หรือใช้ SD Card เพื่อ อัพ Firmware ก็แล้วแต่สะดวก

แต่ Control Board มันส่งคำสั่งให้ Hash Board ทำงาน และในภาพ Control Board มันก็สั่งให้ Power Supply ทำงานด้วยเช่นกัน ต่างกับรุ่นเก่า อย่าง L3+ จะทำงานด้วยสวิทช์ปิดเปิดแทน  ดังนั้น Power Supply อาจไม่เสีย แต่ Control Board อาจไม่สั่งไปทำงาน ดังนั้น จุดนี้ เราแนะนำให้ ลองอัพ Firmware อีกครั้งก่อนที่จะเปลี่ยน Power Supply 

ประเด็นที่เราจะพูดในวันนี้คือ Control Board มันจะทั้ง สั่งงาน และส่งสัญญาณ(ตัวแก้รหัส) และรับสัญญาณ(ที่แก้รหัสแล้ว) ผ่าน Hash Board แต่ละใบ ผ่าน IO Port (สายแพที่เป็นสายสัญญาณ) กับตัว Pic Chip

เขียนโปรแกรม Rom ลง Hash Board
** อย่าสับสนระหว่าง เขียนโปรแกรม Control Board (ด้วย SD Card) กับ เขียนโปรแกรมลง Hash Board (ด้วย PIC KIT) นะครับ เพราะเราย้ำเตือนแล้ว**


จุดนี้ เราต้องเข้าใจว่า เราจะเขียนโปรแกรมลง Hash Board จะต้องมี 2 สิ่ง
1. เครื่องมือในการเขียนโปรแกรม (PIC KIT 3 ขึ้นไป)
2. ตัวไฟล์สำหรับเขียนโปรแกรม เราจะเรียกว่า Hex File ( Hex คือ ไฟล์เลขฐาน 16 นั่นเอง เป็นภาษา Assembly นะครับ)

Hex File
ใน Hash Board แต่ละรุ่น มันจะมี Hardware ที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น
L3+ จะมี Hash Board หลายเวอร์ชั่่น ไล่ไปตั้งแต่ 1.1-1.6 ซึ่งภายในจะมี Hardware ที่ต่างกัน เช่น รุ่นเก่าๆ จะมี Temp Sensor(เซนเซอร์อุณหภูมิ 2 ตัว ) ในขณะที่รุ่นใหม่ๆ จะเหลือเพียงตัวเดียว

ประเด็น L3+ นี่เอง ที่ทำให้ การเขียนโปรแกรม ลง Hash Board นั้น เราจำเป็นต้องเขียนด้วย Hex File ที่แ  แตกต่างกันออกไป เพราะ Hardware ที่รับค่าส่งค่า แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น นั่นเอง

สรุป คือ เราจะต้องเอา Hex File ที่ตรงรุ่น และ ตรงเวอร์ชั่น มา เขียนลง Hash Board  เท่านั้น  เราไม่ควรเอา Hex Fileของ L3+ Version 1.5 มาเขียนลง Hash Board L3+ Version 1.2 เพราะหวังว่า มันจะแรงขึ้น นอกจากมันไม่แรงขึ้นแล้ว มันยังไม่ทำงานอีกด้วย 

สำหรับช่างแล้ว ที่ต้อง เขียน Rom ใหม่ จะเกิดก็ต่อเมื่อเกิดกรณี   Pic Chip ที่รับคำสั่งมาจาก Control Board ให้ Mosfet จ่ายไฟ แต่ Mosfet มันไม่ยอมจ่ายไฟออก เพราะมันไม่มีไฟ 3.3V ที่ได้รับมาจาก Pic Chip นั่นเอง 


วิธีลงเขียน Rom ลง Hash Board ด้วย PIC KIT 
 เริ่มต้น ลงโปรแกรม MP Lap IPE (มันจะโดนบังคับลงทั้ง 2 ตัว จุดนี้ต้องลงทั้ง 2 ตัว แบบเคยเลือกลงเฉพาะตัวที่ใช้ มันไม่ยอมทำงาน)  

เสียบสายให้เรียบร้อย 
โดยเน้นไปที่สายข้อมูล  ต่อเส้นที่ต่อตรงฝั่ง ลูกศร(ฝั่ง PICKIT) ไม่ว่าจะสีอะไร   ต้องตรงกับ รูปทองเหลืองสี่เหลี่ยม (ห้ามเสียบผิด) สีต้องตรงกัน 

Setting Program MP Lap x IPE


1. Setting >> Advance Mode >>  มันจะถาม Password คือ microship

2. Power >> VDD nom 3.25V และต้องติ๊ก "Power target circuit from PicKit3" หรือ Power target circuit from PM3

3. Operate >>  เลือก “PIC16F1704” หรือ  “PIC16F1705” >> Apply >> Connect
(จะเลือก Chip เบอร์ไหน ควรส่องดูที่หลังชิปอีกที  (ส่วนใหญ่ Bitmain จะเป็นPIC16F1704) ) 

4. เลือก Hex File ให้ถูกต้องกับ Hash Board

5. เมื่อ Detect  Board เสร็จแล้ว ก็จบ คราวนี้จะ ทำอะไรก็ตามสบาย

5.1 Program >> เลือกไฟล์ แล้ว เขียนไฟล์ ลง Hash Board

5.2 Erase >> เป็นการลบไฟล์ ออกจาก Hash Board 

5.3 Read >>  Export ไฟล์ Hex  ออกมาเก็บไว้ (เอาไว้ Copy ออกมาเพื่อไปเขียน Board อื่น เมืองนอกจะนิยมวิธีนี้มากกว่า ใช้ไฟล์ จากคนอื่น เพราะมาจากเครื่องเดียวกัน
ใครที่มาร้อง บอกไม่มีไฟล์ Hex ให้เอาออกมาจากบอร์ด ของตัวเอง ที่ยังดีออกมาเองเลยครับ ) 

5.4. Verify >> หลังจากเขียน Rom เสร็จ ควรกลับมาตรวจที่ช่องนี้อีกครั้งก่อนว่า เรียบร้อยหรือไม่ ก่อนเอาบอร์ดไปทดสอบ

5.5 Blank Check เช็คว่า Board นี้ มีโปรแกรมอยู่รึเปล่า

บทเรียน พื้นฐานการซ่อม ASIC (ทางทฤษฎี)
Fix ASIC 101 :  บทที่ 1 การตรวจสอบ Kernel Log และ ASIC Status และการซ่อมด้วยตัวเอง 
Fix ASIC 101 :  บทที่ 2 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Domain Voltage
Fix ASIC 101 :  บทที่ 3 วิธีการใช้งาน PICKIT3.5



วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2565

Electronic 101 : บทที่ 2 ส่วนประกอบพื้นฐาน อิเลคโทรนิกส์

R หรือ Resistor หรือ ตัวต้านทาน

SMD จะมีลักษณะมีสีดำ และ แบน

มีหน่วยวัดเป็น โอห์ม (สัญลักษณ์รูป โอเมก้า)  หน้าที่ของมันคือ มันจะคอยกั้นกระแสไฟฟ้าให้ไหลผ่านไปได้น้อยลง แต่ตัวมันมักจะเกิดความร้อน และความร้อนมักจะทำให้ตัวต้านทานเสีย มักจะเสียด้วย

การ ยืดค่า  (ยืดค่า คือ ค่าความต้านทานมันเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ จนไฟไม่สามารถเดินผ่านไปได้) และทำให้วงจรมันหยุดการทำงานนั่นเอง)

การที่ เราซ่อมแล้วทำมันหลุดหาย โดยไม่รู้ตัว หรือแตก หรือบิ่น (จุดนี้ต้องการการสังเกตุด้วยตาเป็นหลัก)

Capacitor หรือ ตัวเก็บประจุ 
หน้าที่ของมันมีดังนี้
1. Storage เก็บประจุ และคายประจุ (ที่เร็วมาก) โดยที่ไฟฟ้ากระแสสลับผ่าน C ได้ แต่ไฟฟ้ากระแสตรงผ่าน C ไม่ได้
2. Filter แรงดันไฟฟ้า ให้เรียบ (มักใช้ C 2 ชั้น)
3. Coupling เพื่อป้องกัน ไฟฟ้ากระแสตรง ไม่ให้ผ่านไปได้ แต่ไฟฟ้ากระแสสลับยังคงไหลไปต่อได้ฅ
4. Charge Pump หรือ Booster คือการเอา C มาต่อขนาน และสลับ เพื่อเพิ่ม Voltage นั่นเอง

ยกตัวอย่าง ในแอร์ จะเรียกว่า แคปรัน ใช้สำหรับสตาร์ทคอมเพรสเซอร์ 

ตัวเก็บประจุ จะมี 2 อย่าง
1 แบบ Fix ค่า ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ และเราจะวัดแบบนี้
2. ปรับค่าได้

ส่วนใหญ่มีค่าเป็น uF หรือไมโครฟารัด  pF หรือ ฟิโก ฟารัด

ยกตัวอย่างสำหรับ Capacitor แบบ Aluminium (กระป๋อง)  จะอ่านค่าดังนี้

ด้านที่มีสีคาด = ขั้วลบ
ค่าบน uf
ค่ากลาง เลขชุดรแรก คือ Voltage และ อักษร A หรือ S (ค่า Series)  หรือ V  = Voltage 
หากเป็นค่า Series จะต้องไปหาตารางเพื่อเปิดอ่าน มันจะบอกค่าทนอุณหภูมิ และ ช่วง Voltage ที่ทนได้ (ส่วนใหญ่ประมาณ 105 องศาเท่านั้น) แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ 3 ตัวจะต้องไปเปิดตารางค่า Voltage มาด้วย
ค่าล่างสุด เป็น Lot การผลิต 

สำหรับมัลติมิเตอร์ ต้องเลือกเป็น รูป สายไฟ โดนตัด  แต่บางรุ่นจะต้องเลือกเป็น ค่าโอห์ม ก่อนแล้วค่อยปลดค่า (ยก Shift ) อีกทีให้เป็น ไมโครฟารัดอีกที   

และหากต้องวัด ตัว C ที่ค่าโวล์ท สูงๆ ๆหรือ ค่าฟารัดสูงๆ จะต้องล้างค่าก่อน ไม่งั้น มัลติมิเตอร์จะเสียหายได้ (คือเอาขามันช๊อตกันก่อนเลย) แต่ถ้าค่าสูงๆ อย่าลืมเป็น Auto ด้วย 

ถ้าเสีย ค่าจะไม่ขึ้นเลย 

กรณี C กระแสตรง (สลับขั้วไม่ได้ แถบขาวคือขั้วลบ)
วิธีการวัด  100uF  เวลาวัด ต้องเอามิเตอร์ดำ จิ้มไปที่ลบ เท่านั้น และแดงไปจิ้มที่บวก จะได้ค่าตรงกัน

ตัว C นี่ถ้าต่อแบบขนานกัน  ดังนั้น ถ้าลัดวงจรตัวเดียว มันจะลัดวงจรทั้งหมด เพราะมัลติมืเตอร์จะวัดได้ตัวที่ลัดวงจรทั้งหมด

L ตัวเหนี่ยวนำ Inductor
ใช้สนามแม่เหล็กตัดผ่านขดลวด  จะเกิดกระแสในขดลวด เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านลวด จะเกิดการเหนี่ยวนำขึ้น แต่เมื่อต้องการระยะทางที่มากพอ จึงได้เอาขดลวดมาหมุนวน มันมักจะอยู่ในวงจรเพิ่มและลดแรงดันไฟเสมอ

ประเด็นคือ มันคือ ขดลวดทองแดงชุบน้ำยา  ถ้ามันมีการลัดวงจร เกินกว่า น้ำยาของขดลวดจะรับได้ ก็จะทำให้ มันช๊อตได้ 

Diode 
จะเป็นตัวที่มีขั้ว (+ Anode - Catode) เป็น Active เพราะเป็นตัวที่ใช้ควบคุมกระแสไฟฟ้าได้ คือกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ทางเดียว (Forward Bias) คือไฟเข้าได้ทาง Anode ทางเดียว (หลอด LED คือ Diode ชนิดหนึ่ง)

การเช็คช๊อต คือ จะต้องสลับขั้ว + - จะมีเพียงข้างเดียวที่ยอมให้ไฟไหล  

PIC Chip
PIC Chip คือ Microcontroller รูปแบบหนึ่ง ที่ย่อมาจาก Peripheral Interface Controller (คือ การรวมโปรแกรม Ram EEPROM Serial 12C PWM และอื่นๆ โดยไม่ต้องต่อเสริมอุปกรณ์ภายนอก เพราะตัวมันมีทั้งความจำ และหน่วยประมวลในตัวเดียวกันเลย (เสมือนมีทั้ง CPU Ram แฟลชไบออส ในตัวเดียวเลย)

Mosfet Regulator 
คือ Transitor รูปแบบหนึ่ง ถือเป็นวงจรรวมแบบหนึ่ง โดยจะมี 2 อย่างคือ
n Channel (หรือชื่อเล่น nMos สัญลักษณ์หัวลูกศรชี้เข้า) และ p Channel (pMos หัวลูกศรชี้ออก)  ไม่ว่าจะแบบไหนก็จะมีขาออกมา 3 ขา คือ ขาเกท (G Gate) ขาเดรน (D Drain) และขา ซอร์ส (S Source) โดยจะมี ขาเบส B Base ซึ่งจะถูกต่อจาก ขาซอร์ส อีกทีหนึ่ง ดังนั้นหลักๆ จะมีแค่ 3 ขา 

วิธีการทำงานคือ เราจะป้อนแรงดัน เข้าที่ ขาเกต  G  แล้ว
ถ้าเป็น n Channel คือ ถ้ามีกระแสน้อยเกินไป จะไม่มีกระแสไหลไปยัง ขาเดรน กับขาซอร์ส
ถ้าเป็น p Channel ถ้ามีกระแสมากเกินไป จะไม่มีกระแสไหลไปยังขาเดรนกับขาซอร์ส 

ดังนั้น วงจรมักออกแบบให้ Mosfet เป็นสวิทช์ ชนิดหนึ่ง

ประเด็นก็คือ เราส่งแรงดันเข้าขาเกท ค่าหนึ่ง ขาที่ออกมาคือ ขาซอร์ส กับ ขาเบส แม้ว่าจะมีแรงดันเกิดขึ้น ก็จะเป็นไปตามแรงดัน Threshold Voltage (ค่าตามเกณฑ์) ซึ่งจะทำให้มันมี การทำงานแค่ 3 สถานะ คือ

1.) สภาวะการทำงานแบบคัตออฟ (Cut-off Mode) ทำงานตามที่เรากำหนด

2.) สภาวะการทำงานแบบไตรโอด (Triode Mode)

3.) สภาวะการทำงานแบบแอกทีฟ (Active Mode)

การวัด MOSFET เบื้องต้น
จับ Mosfet นอนหงาย ส่วนใหญ่ขาจะเรียงไป G S D ตามลำดับ  

1. วัด G-S โดยตั้งมิเตอร์ X10K วัดสลับสายไปมา ต้องได้อินฟินิตี้ทั้งสองครั้ง

2. วัด D-S โดยตั้งมิเตอร์

2.1 ต่อสาย + เข้าขา S , สาย - เขาขา G

2.2 ย้ายสาย - ไปขา D ทันที ผล เข็มมิเตอร์จะขึ้นเกือบสุด แล้วค่อย ๆ ลดลงจนสุด

3. วัดสลับสาย

3.1 ต่อสาย - เข้า S , ต่อสาย + เข้า G

3.2 ย้ายสาย - ไป D , ย้ายสาย + ไป S เข็มไม่กระดิกเลย

3.3ย้ายสลับสายระหว่าง D-S เข็มจะขึ้น ชี้ที่ความต้านทานต่ำ 

  ** ถ้าวัดขั้นตอนใดไม่เป็นไปตามนี้ แสดงว่า MOSFET เสีย**

ตรวจเช็คช๊อต คือ ต้องลองสลับขั้วเหมือน Diode จะด้านเดียวที่ไม่ช๊อต ถ้าเช็คช๊อต จะดังด้านเดียว

วงจร I2C Bus (Inter Intregrate Circuit Bus)
เป็นการสื่อสารแบบอนุกรมแบบ synchronou ระหว่าง Master(CPU กับ Slave(IC ต่างๆ)  โดยอาศัยสาย 2 เส้น เส้นแรกคือ  Clock เส้นที่ 2 คือ Data 
โดย ขั้นแรก Master(ส่วนใหญ่เป็น CPU)  จะส่งสัญญาณ Clock ออกไป โดยเป็นข้อมูลที่ระบุ Address ของ IC ให้ทำงาน (เผื่อว่า Slave แบบ IC  มีหลายตัว) เพื่อบอกว่า Slave ตัวไหนต้องรับข้อมูลไหนมาคำนวณบ้าง เมื่อ Slave ทุกตัวได้รับข้อมูล Address มา ก็จะตรวจสอบว่า  Address นั้นตรงกับของตนหรือไม่ ถ้าได้รับก็จะส่งสัญญาณกลับไปบอก Master ว่า ได้รับเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าไม่ตรงก็ส่งสัญญาณกลับไปว่า จะไม่ทำอะไร เพราะ Address ไม่ตรง และเมื่อ Slave ทำงานเสร็จเรียบร้อย ก็จะส่งสัญญาณ Data กลับไปยัง Master 

ส่วนใหญ่ CPU จะคอยยิงสัญญาณ Clock ออกไปเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการติดต่อกลับมา จะรีสตาร์ทเรื่อยๆ นี่คืออาการของ Master หา Slave ไม่เจอนั่นเอง

หลักการทำงานดังนี้ เมื่อ CPU ส่งคำสั่ง Clock ออกไป จะมีการปรับแรงดันไฟฟ้าและส่ง ข้อมูล Address (เพื่อระบุว่าต้องการติดต่อกับ IC ตัวไหน โดยใน Address จะมีคำสั่งให้ IC เริ่มต้นทำงาน) และ Master หรือ CPU จะรอคอยการตอบกลับของ Slave 

สัญญาณดิจิตอลส่วนใหญ่จะมีแรงดัน 1.8V (สถานะ High) โดยใช้ resistor pull up(ดึงให้ค่า High เสมอ) แต่ถ้า อยู่สถานะ Low จะเป็น 0V


Oscilator  ตัวกำเนิดสัญญาณนาฬิกา
จุดเริ่มต้นคือ การเคลื่อนที่แบบวงกลม  หรือ Wave จะเป็นดังนี้ 0 90 180 270 360  

มันเป็นตัวเดียวเลยที่วัดค่าช๊อต ด้วย Volt แบบกระแสสลับ ดูว่ามันกระเพื่อมหรือไม่ 


 

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2565

Electornic 101 : อุปกรณ์สำหรับซ่อมอุปกรณ์ มือใหม่ และวิธีการใส่อุปกรณ์บางอย่าง

1. เครื่องเป่าลมร้อน  หรือ Hot Air  แนะนำระดับราคา 3000 บาท

2. หัวแร้ง จำเป็นต้องใช้ของดี มีผลต่อชิ้นงานมาก แนะนำระดับราคา 6000 บาทขึ้นไป โดยเฉพาะการต่อลายวงจร ที่ต้องใช้ความร้อนสูง แต่แนะนำระดับ 12000 บาทขึ้นไป (เจ็บแต่จบ) หัวจะเล็กแต่ร้อนเร็ว ทำให้ลายวงจรไม่ขาด 

ปลายหัวแร้ง ต้องมี 2 ปลายเป็นอย่างน้อย คือ ปลายทั่วไป กับปลายแหลมไว้คอยเปลี่ยน

3. Power Supply แนะนำให้จ่ายไฟได้ 5Amp ไม่ตัด ประมาณ 2000 กว่าบาทก็พอ เพื่อใช้กระแทกไฟ

4. มัลติมิเตอร์

5. แหนบ แนะนำว่า ยี่ห้อ Vetus เน้นของแท้

5. กล้อง Micro Scope
 (มือใหม่อาจยังไม่ต้องใช้) แต่แนะนำของจีนไม่เกิน 5000 บาทก็ได้

4. ตะกั่ว 183 องศา (แนะนำเป็นกระปุกเล็ก จะได้ไม่แห้ง แต่ถ้าแห้งก็เติม Flux ลงไป)
5. ขวดใส่น้ำยาล้าง (มีหัวปั้ม) เน้นเป็นขวดแก้ว และแกนเหล็ก
6.  Flux แนะนำยี่ห้อ AmTech จะไม่ข้นและเหลวเกินไป  แต่เน้นของโม คือ ปลายหลอด  เพราะเขาจะไม่ป้ายเยอะ ถ้าเยอะ IC รอบๆ มีโอกาสดิ้นสูง
7. ตัวล้างปลายหัวแร้ง (เน้นของ Hakko เพราะ 100 กว่าบาท)
8. ตัวซับตะกั่ว เน้น Hakko แบบเส้นเล็ก จะสามารถเข้าไปซับพื้นที่เล็กๆ ได้
9. กาว UV ต้องมีหลอดไฟ UV ด้วย
10 ลวดต่อลายวงจร (0.02 มิล)
11. ยางสน (ใช้รมควัน)

12 เพลทบอลขา และใบพายปาดตะกั่ว
13 ปากกา สำหรับขูดกาว และยก IC (ด้านที่ยก ต้องเอากระดาษทรายขัดสักหน่อย จะได้ไม่บาดตัว IC)
14 ใบมีดสำหรับขูดเพื่อต่อลาย (ไม่คม) เลยมักใช้ร่วมกับคัตเตอร์แบบคมๆ เล็กๆ

กรณี ซ่อมมือถือ ต้องเพิ่มอุปกรณ์ดังนี้
1. ตัวจับแท่น
2. ปิ๊กกีต้าร์ หรือไพ่ ไว้แกะเครื่อง
3. โปรแกรม วงจร มือถือ (จ่ายปีต่อปี)
4. ไขควงขนาดเล็ก (เลือกอย่างดีไปเลย)

วิธีการใช้ (ถอด) อุปกรณ์  SMD
0. ทำความสะอาดด้วย โซเวนท์ ก่อน 1 รอบ
1. ใช้ Flux เจล  ทาหรือฉีด Flux ก่อน
2. ใช้ปืนลมร้อน ตั้งค่าแรงลมที่ 1-2  ตั้งค่ามิเตอร์ความร้อนที่ 4 หรือ 400 องศา +/- 
3. ใช้แหนบ หนีบ ขาใดขาหนึ่งออกมาให้ได้ก่อน ค่อยเอาออกมาทั้งหมด 
4. ทำความสะอาดด้วย โซเวนท์ อีกครั้ง

การเปลี่ยน Booster Kit 
1. ทำความสะอาด ด้วยโซเวนท์
2. ใช้ Flux ทาก่อน
3. ใช้ปืนลมร้อน ตั้งค่าที่ 380-400 องศา แล้วใช้เกรียงขนาดเล็ก เขี่ยอะไหล่ออกให้หมด
4. ใช้คลิปหนีบกระดาษ  แล้วเอาชุด Booster Kit มาหนีบไว้ แล้วเติมตะกั่วเข้าไป (เอาบัคกรี จิ้มลงไปเลย)
ตามด้วย รูด้านบน 3 รู เป็นอันจบพิธี

ความช๊อตลงกราวด์

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2565

Electornic 101 : บทที่ 1 ระบบไฟฟ้าภายในบ้าน

ระบบไฟฟ้าภายในบ้าน

ก่อนไปเรื่องอื่น เราต้องเข้าใจศัพท์ก่อน
แอมป์ คือ หน่วยวัดกระแสไฟฟ้า (มักใช้ระบุ กับกระแสไฟผ่านสายไฟต่างๆ)
วัตต์   คือ หน่วยวัดกำลังไฟฟ้า (มักใช้ระบุว่า เครื่องใช้ไฟฟ้ากินกำลังไฟฟ้าเท่าไหร่ เช่น แอร์กินไฟ 1000 วัตต์)
โวลต์ คือ หน่วยวัดแรงดันไฟฟ้า 
สูตร เปลี่ยน แอมป์ เป็น วัตต์ คือ แอมป์ x โวลต์ = วัตต์

ยกตัวอย่างเช่น หากเราพูดถึงหม้อไฟ สามารถจ่ายไฟได้ 5-10 แอมป์ นั่นหมายความว่า มันสามารถจ่ายไฟได้ (5x230)  1150W และพีคสูงสุดที่ (10x230) 2300W นั่นเอง

ขนาดไฟฟ้าที่บ้านพักอาศัยสามารถขอได้
ไฟบ้าน 5-10 (8) แอมป์  1150-2300W
ไฟบ้าน 15-45 (36) แอมป์  3450-10350 (8290)W
ไฟบ้าน 30-100 (80) แอมป์

กฎ 80%
ค่าใน วงเล็บ คือ ค่า 80% ของไฟฟ้าสูงสุด หลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องมีกฎ 80%

ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ หากบ้านของคุณรองรับไฟฟ้าสูงสุดที่ 30A (6900W) แต่คุณนำเครื่องขุดมาขุดและกินไฟไป 6000W  ดูเหมือนไม่มีปัญหา แต่ความจริงคือ แรงดันไฟฟ้าของคุณลดลงเหลือเพียง 220V ไม่ใช่ 230V ตามปกติอีกต่อไป แม้ว่า เบรกเกอร์ของคุณอาจจะยังไม่ตัด เพราะมันจะตัดก็ต่อเมื่อ 30A หรือ 6900W ก็ตาม

ซึ่งการที่แรงดันไฟเพียง 220V ก็อาจทำให้ เครื่องขุดของคุณเสียหายในระยะยาวได้  ดังนั้น เราจึงแนะนำให้ใช้กฎ80% เพื่อป้องกันความเสียหายในระยะยาว

เราแนะนำให้คุณอย่าโลภเกินพลังงานไฟฟ้าภายในบ้าน ไม่เช่นนั้น คุณจะเสียมากกว่าได้


ขนาดเครื่องวัดฯ
(แอมแปร์)
 
เฟส
 
ขนาดสูงสุดของ
เมนสวิตช์(แอมแปร์)
ขนาดต่ำสุดของสายเมนและ 
(สายต่อหลักดิน)** ตร.มม.
 
แรงดันไฟฟ้าของ
สายเมน(โวลต์)
สายเมนในอากาศ
สายเมนในท่อ
5 (15)
1
16
4 (10)
4,10**(10)
300
15 (45)
1
50
10 (10)
16 (10)
300
30 (100)
1
100
25 (10)
50 (16)
300
50 (150)
1
125
35 (10)
70 (25)
300
ขนาดสาย
(ตร.มม.)
ขนาดกระแส (แอมแปร์)
วิธีการเดินสาย (ดูหมายเหตุ)
ท่อโลหะ
ท่ออโลหะ
ท่อโลหะ
ท่ออโลหะ
0.5
9
8
8
7
10
9
-
1
14
11
11
10
15
13
21
1.5
17
15
14
13
18
16
26
2.5
23
20
18
17
24
21
34
4
31
27
24
23
32
28
45
6
42
35
31
30
42
36
56
10
60
50
43
42
58
50
75
16
81
66
56
54
77
65
97
25
111
89
77
74
103
87
125

ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 
การลากสายไฟเข้ามา 3 + 1 เส้น จากระบบเดิมที่เป็น 1+1 เส้น ข้อดีคือ แต่ละเส้นไฟฟ้าเมนหลัก จะโหลดลดลง ไม่รับภาระในแต่ละเส้นมากเกินไป แต่ปัญหาคือ เราจำเป็นต้องโหลดบาลานซ์ให้ได้  คือ เราต้องพยายาม ไม่ให้ไฟฟ้าโหลดไปที่เส้นใดเส้นหนึ่งมากเกินไปนั่นเอง ดังนั้น มันจะเกี่ยวข้องกับ การวางแผน การใช้ไฟฟ้าในแต่ละจุด ด้วย (เราแนะนำให้คุณปรึกษา ช่างไฟ ดีกว่าตรงจุดนี้) 

การจะขอไฟ 3 เฟส 
1. มีไฟฟ้า 3 เฟสผ่านหน้าบ้านมั้ย  วิธีสังเกตุคือ มันจะมีสายไฟ 4 เส้น โดยหากเป็นเสาไฟที่มี 2 ชั้นมันจะอยู่ด้านบานสุดของเสาไฟฟ้า

2. ระบบไฟฟ้า 3 เฟส  แทบต้องเปลี่ยนระบบไฟในบ้านทั้งหมด แต่สามารถเน้นไปที่เฉพาะ

ตู้ไฟ (หลักหมื่น) โดยตู้ไฟ หากขอเป็น 15A 3P ตู้ต้องใช้ 50A และหากขอเป็น 30A 3P ต้องใช้ตู้ 80-100 A เท่านั้น (ตู้จะ x 3 ของไฟนั่นเอง)

และต้องเดินสายเมนเข้าบ้านเป็น 4 สาย อีกด้วย 
ยกตัวอย่าง กรณี ปัจจุบันเป็น 15-45 A หรือ 30-100 A  หากเปลี่ยนเป็น 15A 3P  ก็เพิ่มสายไฟเบอร์ 16 m อีก 2 เส้น แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น 30A ก็ต้องเพิ่มสายเมนเบอร์ 35m อีกสองเส้น  และลงแท่งกราวด์ตามที่กำหนด 

3 ค่าขอมิเตอร์ ประมาณ 25,000-40,000 บาท

ค่าไฟฟ้า
สำหรับ ระบบไฟฟ้าใช้ใน ที่อยู่อาศัยจะไม่มี Power Factor(???)  แต่มันมีข้อเสียคือ มันคิดค่าไฟแบบขั้นบันไดเดียว

เปรียบเทียบ 1 เฟส 3 หม้อ (มีบันไดให้ขึ้น 3 ทาง) กับ 3 เฟส 1 หม้อ (มีบันไดเดียว) 

แต่ถ้าเป็นโรงงานของ จะมีการคิดค่าไฟแบบ Power Factor ที่ต้องบาลานซ์ไฟให้ดี ถึงจะประหยัดไฟได้ 

คำแนะนำคือ  ยกตัวอย่าง หากคุณซื้อคอนโด 4 ห้องมาทุบรวมกัน  ได้หม้อไฟมา 4 หม้อ ทุกอันคำนวนโหลดดีๆ จะได้ใช้บันไดขั้นแรกๆ ก่อนไปบันไดขั้นถัดไป  ทำให้ค่าไฟถูกกว่า เพียงแค่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้า 4 บิลทุกเดือนเท่านั้น