AntMiner T17 T17+
Download คู่มือซ่อม T17 คู่มือซ่อม T17+(ภาษาจีน) Hex File T17
S17 และ S17Pro คือ ตัวเดียวกัน ใช้ชิป 1397AD เหมือนกัน แต่ S17Pro คือ การคัดเกรดชิปเท่านั้น ส่วน T17 นั้น Bitmain เลือกที่จะวางชิปจำนวนน้อยกว่า S17 ในพื้นที่เท่ากัน (30 VS 48 ตัว) ทำให้นักขุดมองในแง่ดีว่า T17 มีซิงค์ที่ใหญ่กว่า และทำให้หลายคนเชื่อว่า T17 จะมีประสิทธิภาพต่อการกินไฟที่ดีกว่า S17
แต่การที่มันเริ่มต้นกินไฟถึง 3,000W มันกินไฟเยอะมากๆ ทำให้นักขุดมองว่า มันไม่ใช่อุตสาหกรรมในครัวเรือนแล้ว แต่มันคือ ASIC ระดับอุตสาหกรรม ไปแล้ว
ส่วน Series + หรือ S17+ และ T17+ จะมีการออกแบบ Hashboard ใหม่ โดยใช้ชิปรุ่นที่ใหม่กว่า (แต่เป็นชิปเดิม MinorChange มากกว่า) คือ ชิป 1397AG ที่ใหม่กว่า 1397AD (รายละเอียดชิปแต่ละรุ่นจะอยู่ด้านล่าง) S17/T17 เดิม และ Series+ ยังใส่ชิปลงไปในบอร์ดมากกว่าเดิม คือ 65 ตัว เทียบกับ S17 ที่ใส่แค่ 48 ชิป ชิปทั้งสองตัว ตามสเปคแล้วควรจะเหมือนกันหมดทุกอย่าง แต่ความเป็นจริง ที่นักขุดก็ยังคงบ่นรุ่น 17 เช่นเคย คือ ซิงค์มันกลับไม่ได้รับการพัฒนาขึ้นเลยแม้แต่น้อย แล้วยังวางชิปที่หนาแน่นกว่าเดิม ยิ่งทำให้ซิงค์เล็กลงอีก และเพิ่มโอกาสทำให้ซิงค์หลุดเช่นเดิม
ส่วน Seires E หรือ S17e และ T17e นั้นจะค่อนข้างแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเลือกใช้ชิป 1396 และวางชิปมากถึง 135 ชิป ต่อบอร์ด
อย่างไรก็ดี Series 15 และ 17 ยังคงเป็น เครื่องขุด ASIC ที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะ ระบบการบักกรีที่ไม่ได้คุณภาพ และ PSU ที่คุณภาพต่ำ นอกจากนี้ มันมีพัดลมถึง 4 ตัวทำให้เสียงดังถึง 82 Db และเน้นว่า เครื่องนี้ ต้องเสียบสายไฟทั้ง 2 เส้น และกินไฟถึง 2200-3000 W
สรุป
T17 (30Chip ซิงค์ใหญ่สุด และเย็นที่สุด มีปัญหาน้อยที่สุด )
T17+ (65 Chip ค่อนข้างแย่ ซิงค์เยอะ และชิปอยู่ชิดกันมาก โอกาสเสียจากชิปไหม้สูง ถ้าซิงค์หลุดเยอะ การซ่อมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ)
PSU สำหรับ S17 T17 S17Pro จะเป็นใช้ PSU รุ่น APW 9
PSU สำหรับ S17+ T17+ S17e T17e จะใช้ PSU รุ่น APW9+
คำแนะนำในการตั้งค่าเครื่องนี้ ดังนี้
ให้ตั้งค่าความถี่ (FQ) ลงมาให้ได้อุณหภูมิที่ต่ำๆไว้ก่อน ( สำหรับ T17 ค่ามาตรฐานโรงงานอยู่ที่ 690) หรือ ลดการตั้งค่า การจ่ายไฟลง (ค่ามาตรฐานโรงงานจะอยู่ที่ 17.5 Volt) ที่สำคัญคือ จะได้ประหยัดค่าไฟด้วย และลดความร้อนลงด้วย
การตั้งค่า พัดลม เนื่องจาก T17 มีปัญหาเรื่องความร้อนสูงมาก จึงควรตั้งค่าพัดลม 80% ขึ้นไป แต่เสียงก็จะดังมากๆ อย่างไรก็ดี หากพัดลมดับ เครื่องจะหยุดทำงานทันที ดังนั้น ควรสำรองพัดลมไว้ทั้ง พัดลม ASIC และ PSU แต่ประเด็น คือ รุ่นนี้ มันถอดมาเพื่อเปลี่ยนพัดลมได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด
อีกประเด็นคือ Hash Board ตระกูลนี้ ก็มีปัญหาเรื่อง EEPROM (บน HashBoard ไม่ใช่ Control Board) โดยเป็นทั้ง Series S และ T หากมี Hash Board ที่เสียจำนวนมาก ควรซื้อเครื่อง Copy เฟิมแวร์จากเครื่องที่ดี แล้วไป Paste ลงเครื่องที่เสียเลย เพราะเครื่องที่เสียส่วนใหญ่ 60% มาจากประเด็นนี้เลย
T17
เคส ก่อนอื่นมีคนยืนยันว่า มันสามารถใช้เคส ร่วมกับ S17 ได้ แต่มันไม่สามารถเสียบสลับกันไปมาใน Case เดียวกันได้
Specification
สเปคดั้งเดิมของ T17 จะมีแรงขุดที่ 40-42Th กินไฟ 2200-2500W ใช้ 3 การ์ด แต่ละการ์ดใส่ชิป (BM1397) จำนวน 30 ชิป (Asic 0 คือ ตัว buffer ชอบตะกั่วร่อน มันทำหน้าที่ รับส่งข้อมูล จะต้องผ่าน IC Buffer 2 ตัว (6 ขา) ที่คอยแปลงข้อมุลก่อนส่งออก 201(Tx) กับ 202(Rx) มีหน้าที่ปรับกระแสกับแรงดัน เพื่อสื่อสารกับ IO
(ขา1 ต้องมี 3.3V ขา 6 ต้องมีไฟ 1.8V)
ค่ามาตรฐานของเฟิมแวร์ทางการ คือ เครื่องจะหยุดรันเมื่อ 2 อย่างคือ
1. อุณหภูมิชิปสูงถึง 100 C
2. อุณหภูมิบอร์ดสูงถึง 75 C
T17 Setting
โหมดพัดลม มันจะอยู่ในค่า Silent Mode ในตอนเริ่มต้น (เพื่อให้ Temp Sensor ทำงานก่อน พอมันร้อน ค่อยเปลี่ยน Mode)
ตั้งค่า Downscale เมื่อชิปร้อนเกินไป (ถ้าร้อนมากเกิน 80 C แนะนำให้ถอดบอร์ดออกหนึ่งตัว โดยบางคนเชื่อว่า เอาการ์ดที่เสียมาไว้ตรงกลางจะดีที่สุด) อุณหภูมิจะลดลงมาพอดี หรือพัดลมตั้งที่ 100%
การตั้งค่าจ่ายไฟ PSU ค่ามาตรฐานตั้งไว้ที่ 17.2-17.5 V แต่เวปเมืองนอกจะแนะนำให้ตั้งค่าที่ 15.8-16.5V
การซ่อม
ส่วนประกอบ และการซ่อมระบบไฟ ของ HashBoard
1. เริ่มต้น เราจะดู Kernel Log ก่อนว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น หาพัดลมไม่เจอ หาการ์ดไม่เจอ หรือ หากชิปไม่ครบ หรือ ปัญหาเซนเซอร์อุณหภูมิ จะได้ วิเคราะห์ปัญหาได้ใกล้เคียง
1.1 ถ้าเห็นการ์ด หรือ ชิปบางส่วนแล้ว ยืนยันได้เลยว่า ไม่ใช่ PSU และพัดลม เสียแน่นอน
1.2 กรณี พบว่า Log รายงานว่า เป็น Temp Sensor error เครื่องจะพยายามรักษาตัวเองด้วยการปิดการ์ดใบนั้น ทำให้เราไม่เห็นการ์ดใบนั้นทำงาน
แม้ว่า สันนิษฐานของหลายคนคือ Temp Sensor เสีย แต่มีหลายคนยืนยันว่า เมื่อเปลี่ยน Temp Sensor แล้วก็เปล่าประโยชน์ เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากตัว Temp Sensor เอง (เป็นไปได้ยากมากที่ Temp Sensor จะเสียพร้อมกัน 4 ตัว) แต่ปัญหาน่าจะเกิดจาก Chip ตัวสุดท้าย หรือ U1 (น่าจะอยู่ในชุด Booster) ที่จ่ายไฟมีปัญหามากกว่า รวมถึง PSU ที่จ่ายไฟไม่เพียงพอมากกว่า (ดังนั้นต้องย้อนกลับไปอ่าน Log อีกครั้งว่า Volt ที่จ่ายไฟให้แต่ละการ์ดถูกต้องหรือไม่ก่อน) แต่บางคนแนะนำให้ลงเฟิมแวร์ใหม่ หรือ Flash PIC KIT ก่อน ขณะที่บางคน แค่ทำความสะอาด PSU และเปลี่ยนพัดลมก็หายเป็นปกติแล้ว ขณะที่บางคน แค่อุ่นอากาศรอบตัว รีสตาร์ทก็เปิดได้แล้ว มีคนใช้โปรแกรมทดลองแล้วพบว่า มันอ่านอุณหภูมิได้ค่าติดลบเฉยเลย)
2. เราจะเริ่มต้นถอดการ์ดที่มีปัญหาออกมาตรวจสอบด้วยสายตาก่อน โดยตรวจสอบฮีทซิงค์ก่อนเลยว่ามีล้มหรือไม่ เพราะถ้าซิงค์แตะกันเมื่อไหร่ หมายถึง ชิปมีโอกาสช๊อตกันสูง เพราะไฟลบของแต่ละโดเมน มันวิ่งถึงกันนั่นเอง
ก่อนต่อสายไฟ เราจะเริ่มต้น การนับชิป และโดเมนก่อน
การนับชิปตัวที่ 1 จากเริ่มจากตัวที่ใกล้ I/O Port มากที่สุด แล้วนับลงมา สลับฟันปลาไปมา
การ์ดจะใช้ ชิป BM1387 จำนวน 30 ตัว มี 10 Volt Domains แต่ละ Volt Domain มีจะมี 3 ชิป (แต่ละชิปจะมี 34 ขา)
ความเข้าใจเกี่ยวกับ Volt Domain
มันคือ แต่ละโดเมนจะมีการส่ง ไฟฟ้าแรงดันโวลท์ไป ถ้า ระหว่าง โดเมน ผิดปกติ การ์ดนั้นจะดับ (ตรงนี้ อาจต้องใช้เครื่อง Text Fixture ตรวจ)
3. เริ่มต้นต่อสายไฟจาก PSU เข้าบอร์ด คำเตือนแรกคือ ห้ามต่อสายไฟสลับขั้วกันโดยเด็ดขาด มันจะมีแค่ขั้ว + (แดงอยู่บน) กับ - (ดำอยู่ล่าง) อ้างอิงตามรูปด้านบน
ปกติ หากมีเครื่อง Test Fixture เราจะเริ่มเสียบจากตรงนี้
การทดสอบสัญญาณ ควรเริ่มต้นจาก ถอดซิงค์ (ยังไม่เสียบ) แล้วเทส แดงจิ้มหลังชิป ดำจิ้มรูทดสอบ ทดสอบด้วยการตั้งค่า โอห์ม จะต้องขึ้น 0 ทุกอัน (แต่จะมีอันหนึ่งขึ้น 2.6 โอห์ม)
วัดโวลท์ ด้วยการจิ้มกับหลังชิป
BO 0 V (Diode 1200+-20) (ถ้าเจอ 1.8 แสดงว่า ชิปก่อนหน้าอาจเสีย ยกตัวอย่างเช่น เราเริ่มต้นที่ตัวสุดท้าย ได้ 1.8V ก็ไล่จิ้มจนกว่าจะเจอตัวที่ 0V นั่นเอง)
RST 1.7V Diode 1200+-20)
RX RI 1.7V (Diode 420+-20)
TX 1.7V (Diode 1200+-20)
CLK 0.9V (Diode 1200+-20)
LDO 1.8V (Diode 400+-20)
LDO 0.8V (Diode 20+-20)
(ก่อนวางชิป ต้องเช็ค R รอบชิปด้วยว่า ยืดหรือไม่ ค่าต้องได้เป๊ะๆ )
การวัด Voltage วัดจุดทดสอบ กับ ฮีทซิงค์ได้เลย
การวัดไดโอด เปลี่ยนเป็นโหมด Diode รูป Play+ pause โดยจิ้มหลังชิป + สัญญาณแต่ละตัวได้เลย
เริ่มต้น ตรวจสอบระบบไฟ
T17 จะใช้แรงดันของแต่ละโดเมนคือ 1.7 V มี 10 โดเมน
ดังนั้น ที่ขั้ว แรงดันรวมที่เข้าทั้งหมด คือ 17-21Volt ( ตัวบน คือ + ตัวล่างติดพอร์ต IO คือ -)
เริ่มต้นให้วัดไฟที่ J6-J7 ควรมีไฟมารอที่ 17V (อยู่กลาางบอร์ดเลย เหมือน Cap หายแต่ความจริงมันคือที่ตรวจไฟเลย )
Mosfet
เริ่มต้น ไฟมันจะไปรอที่ Mosfet 4 ตัว คือ Q7 Q8 Q9 และ Q11 (รหัส MDU3603 รุ่นนี้ Mosfet จะอยู่อีกด้าน จะมีชิประบายความร้อนอยู่ โดย Mosfet มันจะรอคำสั่งที่ขา 4 en ด้านล่าง ถ้าไม่ขุดต้องมีไฟ 0V แต่ถ้าขุดต้องมีไฟ 3.3V ส่งมาสั่งให้ Mosfet จ่ายไฟออก)
หาก Mosfet ไม่มีสัญญาณจ่ายไฟ ให้ย้อนกลับไปดู ขาที่ 1 ของ Q10 (Transitor 3 ขาที่รับจาก Pic Chip) มีไฟ 3.3V หรือไม่ ถ้า Pic chip ไม่มีไฟ 3.3V มา แสดงว่า PIC Chip เสีย ให้ลง Firmware ใหม่ หรือ ให้ตรวจขาที่ 6 ด้านบน ว่ามีไฟ 3.3V มาจาก IO Port หรือไม่ โดย Pic Chip ก็จะไปสั่ง Q10 (Transitor (ชิปสีดำ 3 ขา เน้นไปที่ขา en (ขาเดียวๆ) เหมือนกับบอร์ด L3) มันจะเป็นตัวสั่งจ่ายไฟ 17.5 Volt (ขาเดียวของมันคือ เป็น O volt เมื่อไม่มีคำสั่ง และเป็น 3.3 volt เมื่อมีคำสั่งให้ขุด)
(จริงๆ เรื่อง Pic Chip ควรตรวจเจอตั้งแต่ในขั้นตอน Log File แล้ว เพราะจะมีคำว่า ERROR_PIC_LOST นั่นคือไม่ต้องไปใช้มัลติมิเตอร์ก็รู้ตั้งแต่อ่าน Log File แล้ว)
PIC KIT and Pic Chip
โดยปกติ ถ้าเราวางชิปใหม่ เราจะต้อง ลงเฟิมแวร์ใน Rom ใหม่ทุกครั้ง ผ่านเครื่อง PicKit
ถัดมา J6 กับ J7 ต้องวัดได้ไฟ 17-21 Volt (ไฟเริ่มต้น) มันจะแยกจ่ายไปแต่ละโดเมนอีกที
Booster (มันเป็นตัว Booster ไฟ ให้ ขึ้นไป 22-23V)
ระบบไฟด้านล่าง
ถ้าแรงดันไฟระหว่างโดเมนมาปกติ ให้เริ่มต้นด้วยการวัดสัญญาณ RI ของแต่ละชิปว่า มีแรงดัน 1.8V หรือไม่ (สัญญาณตัวนี้จะเริ่มต้นที่ชิปตัวสุดท้าย ไล่ไปทีละตัว)
LDO ตัวบน (1.8V) LN1134A182MR (รุ่นนี้ ส่วนใหญ่จะไม่เสีย แต่เสียที่ชิปมากกว่า)
กรณี ไม่มีทั้งโดเมน หากไม่มีแรงดันไฟทั้งโดเมน เราจะเริ่มต้นการสืบสวนจาก LDO 5 ขา (จะมี 2 ตัว ตัวบน กับตัวล่าง (ตัวบน 0.8V ตัวล่าง 1.8V
ขาที่ 1. ขาเข้า ต้องมีไฟเข้า 5.1 ( 3x 1.7) เวปเมืองนอกบอก 3.3 V
ขาที่ 2. ขา Groud
ขาที่ 4. ไม่ได้ใช้งาน
ขาที่ 5. ขาออก ตัวแรกจะมีต้องมีไฟ 1.8V กับ 0,.8V (วัดเทียบบกับหลัง ซิงค์ได้เลย)
ถ้าขา 5 ยังออกไฟ 1.8V ปกติ ให้มาตรวจเช็ก ค่าความต้านทาน และตรวจสอบแต่ละชิป ว่าเสียหรือไม่ (ถ้าชิปเสียต้องถอดเปลี่ยนชิป)
ถึงตรงนี้จะเห็นว่า โดเมน 9 ก็ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือ โดเมนที่ 10 ที่ Volt อาจไม่พอ
การกระโดดข้าม โดเมนก็เหมือนกัน คือ C และ R (อยุ่ด้าน LDO เหมือนเดิม) โดยข้ามที่ 3.3 Volt
LDO ตัวบน SGM1036 (ตัวเดียวกับ S17)
เข้าขา1 3.3V ออกขา 5 0.8V
T17+ จะใช้แรงดันรวมคือ 17.05V แต่ละโดเมนคือ 1.55V (วัดจริงต้องได้ 1.6V) โดยจะแยกไปที่ LDO (L1134A182MR) จะมี 2 ตัว แยกเป็น ตัวจ่ายไฟ 1.8V กับตัวจ่ายไฟ 0.8 V (SMG2036-ADJYN5G/TR) U117 , U152 (ตรวจไฟจาก Capacitor ตามตำแหน่งด้านล่าง มันง่ายที่สุดแล้ว)
โดยยังคงต้องเช็คสัญญาณ ทั้ง 5 คือ CLK-CO-RI-BO-RST
ยกตัวอย่าง หาก ตัวทดสอบบอกว่า ชิปตัวที่ 3 เสีย เราจะทดสอบดังนี้
ก่อนอื่นถอด PSU ออกก่อน
1. ใช้ สีแดงของมัลติมิเตอร์แตะกับ ฮีทซิงค์ และ ขาดำ เสียบทดสอบทั้ง 5 สัญญาณ (สีดำห้ามแตะกับฮีทซิงค์ไม่งั้นอาจลัดวงจรได้)
3.1 กรณี (Asic = 0)
3.2 ถ้าแหล่งจ่ายไฟจ่ายไฟมาแต่ละโดเมนเป็นปกติ และมีไฟในแต่ละ Domain ก็มาดูที่สัญญาณ RI ของชิปที่ควรจะวัดค่าได้ 1.8Volt (เริ่มวัดจาก ชิปตัวสุดท้าย) ไล่ตรวจไป ถ้าชิปตัวไหนไม่มี ก็ไล่ย้อนกลับไปถึง แหล่งจ่ายไฟ LDO (LDO คือตัวแบ่งจ่ายไฟจากแรงดันไฟฟ้ารวม ให้ไปตรวจ LDO ตัวที่ 1 ก่อนเลย) ไปถึง Power Supply ไปถึงชิป ถ้าขาดไฟช่วงไหนเช่น LDO ก็แสดงว่า LDO เสีย หรือ มีปัญหาเรื่องตะกั่ว (ให้ลองใส่ตะกั่วใหม่เข้าไป) หรือทดสอบความต้านทานของชิป
กรณี Test Point ชิปแล้ว ยังไม่รู้ ให้มาตรวจ ความต้านทานรอบชิปอีกที (เทียบกับบอร์ด) ถ้าความต้านทานปกติ ก็แสดงว่า ชิปนี้มีปัญหาแล้ว ให้เปลี่ยนชิป)
3.3 กรณี สัญญาณ ASIC =7
การอ่านแบบนี้ คือ สามารถพบชิป 7 ตัว และมีปัญหาตัวที่ 8 (อาจเป็นตัวที่ 6 หรือ 7 หรือ 8 ) เราจะเริ่มต้นวัด Voltage ของชิปตัวที่ 7 ทั้ง U198 CLK RST CO ดูว่าแหล่งจ่ายไฟผิดปกติหรือไม่ CLK = 0.8 Volt มั้ย (ถ้าไม่ใช่ ให้ย้อนกลับไปตรวจ แหล่งจ่ายไฟว่ามาถูกต้องหรือไม่ โดยต้องไล่กลับไปที่ LDO ที่เป็นแหล่งจ่ายไฟอีกครั้ง)
บางคนบอกว่า บางทีฮีทซิงค์มันเริ่มหลวม เอามือบีบมันเบาๆ ก็อาจกลับมาได้ หรือให้ดี ให้เอากาวทาใหม่ก็จบ แต่บางคนบอกว่า ชิปมันบักกรีด้วยตะกั่ว Free ทำให้เมื่อมันเก่า มันมีโอกาสแครกสูงให้ลอง ReFlow ดูก่อน
4.Temp Sensor
อย่างที่บอก Temp Sensor นั้น เป็นปัญหาของรุ่น T17 มันใช้ชิป T451 เพื่อรวบรวมข้อมูลอุณหภูมิ และการ์ดหนึ่งแผ่นจะมีจำนวนถึง 4 ตัว (ต้องถอดฮีทซิงค์ของชิปออกก่อนถึงจะเห็น) ที่สำคัญคือ ถ้าบอร์ดหา เซนเซอร์ อุณหภูมิไม่เจอ การ์ดจะไม่ทำงาน
วิธีวิเคราะห์ปัญหานี้คือ เมื่อดูหน้า Status จะไม่เห็น อุณหภูมิ และ เมื่อดู Kernel Log จะแจ้งเลยว่า ไม่พบอุณหภูมิ read temp sensor failed
แต่ประเด็นนี้ บางทีช่าง ถอดเปลี่ยนชิปอุณหภูมิก็ไม่ช่วยอะไร เพราะชิปไม่ส่งสัญญาณอุณหภูมิออกมาอยู่ดี ที่สำคัญ ส่วนใหญ่เกิดจากชิป U1 หรือแรงดันชิปตัวสุดท้ายตก (หรือชิปแฮชไม่แนบไปกับซิงค์ และไม่ส่่งค่าอุณหภูมิให้ Temp Sensor มากกว่า)
หรือ บางทีอาจต้องอัพเฟิมแวร์ของ hashboard เพื่อแก้ปัญหานี้ นอกจากนี้ การสลับบอร์ด ไปมา (ค่า Volt จะไม่เท่ากันทุกบอร์ด) ทำให้ ข้อมูลอุณหภูมิถูกเก็บต่างกันอีกด้วย
ประเด็นปัญหาที่แท้จริง ของ T17 คือ ตะกั่วที่บริษัทผลิตมาไม่มีคุณภาพ เพราะเป็นตะกั่วไร้สารตะกั่ว ทำให้มันมีปัญหา เกิดฟองอากาศและรอยแตก ทำให้ไฟในชิปเดินไม่ปกติ ( ปัญหานี้เกิดทั่วไปในวงการอิเลกโทรนิกส์ทั่วโลกในยุคนั้น) ถ้าจะถอดต้องใช้ Flux ที่ไม่ต้องทำความสะอาด (No Clean) แต่แนะนำให้ ReBall ด้วยปืนความร้อน 350-380 องศา ก่อนจะดีกว่า)
แต่สิ่งแรกที่แนะนำคือ เปลี่ยน พัดลมเป็น Delta 2.6A ทั้ง 4 ตัวจะดีกว่า นอกจากลดการสั่นแล้ว ยังเย็นกว่าด้วย
ตำแหน่ง Temp Sensor ที่ Log มักรายงานว่าเสีย
ชิป 2 ตัวนี้ที่แนะนำให้เปลี่ยน
T17+
ก่อนอื่น เส้นลวดเหล็กที่เป็นตัวรับไฟ ตัวนี้ต้องสะอาด และ ป้องกันหลีกเลี่ยงการลัดวงจรระหว่างซ่อมบำรุง เพราะมีกระแสไฟสูงถึง 21V
ประเด็นสำคัญของ T17+ คือ แฮชบอร์ดนั้นมีหลายรุ่น ดังนั้นจะลงเฟิมแวร์ต้องดูให้ดี ว่า ถูกตรงรุ่นหรือไม่
*** ห้าม OC เกิน 800 เด็ดขาด มีคนเสียทันทีเพราะมันมาแล้ว**
1. ให้ไปตรวจที่ LDO ก่อนว่า จ่ายไฟ 1.8V และ 0.8V หรือไม่ หากผิดปกติ ให้ย้อนกลับไปตรวจที่ วงจร Booster โดยวงจร Booster จะจ่ายไฟมาที่ 23V
2 ถ้าชิปไม่สมบูรณ์ ให้ ถอดมาบักกรีใหม่ หรือ เขียน Firmware ใหม่ (ต้องใช้ ไฟล์ Hex กับเครื่องมือ PicKIT3) รวมไปถึงตรวจสอบ Mosfet ว่า มีลัดวรจรหรือไม่
ห้ามสลับบอร์ด
สิ่งสำคัญที่หลายคนมักจะพลาดคือ เมื่อเอา การ์ดอื่นมาเสียบแทนการ์ดเดิมของ Series ตั้งแต่ 9 ขึ้นไป (จริงๆ Hash Board จะถึงแค่ S9i คือ S9 กับ S9i ถึงจะสลับกันเครื่องกันได้) มันห้ามเสียบข้ามเครื่องกัน ยกตัวอย่างตามรูป คือ แม้แต่รุ่นเดียวกัน แต่คนละ ซีรียส์ ก็เสียบข้ามไม่ได้
ดังนั้น ถ้าถอดออกมาเพื่อทำความสะอาด เราแนะนำว่า ให้ทำทีละเครื่องเท่านั้น ห้ามทำหลายๆ เครื่องพร้อมกัน เดี๋ยวจะพลาดสลับบอร์ดได้ ทำให้ การ์ดบางการ์ดไม่ทำงานได้
1. ทำความสะอาดทั้ง 2 ด้าน (ถ้ามีฟลักซ์เก่า ต้องทำความสะอาดให้หมด ซิงค์ก็ใช้มีดขูดออกให้หมด แล้วใช้โซเวลท์ทำความสะอาดอีกครั้ง)
2. เอาตะกั่วไลท์บนซิงค์ (ต้องใช้ตะกั่วน้อยมากๆ ไม่งั้นมันจะไหลไปโดนขาได้ ตรงนี้ยากมากๆ และต้องวางให้ตรง ไม่งั้น ตะกั่วจะไหล แล้วใช้ปืนความร้อนตั้งที่ 350 แล้วเป่าให้ทั่ว )
3. ฉีดฟลักซ์ เล็กน้อยลงบนชิป (นิดเดียวจริงๆ)
Firmware
แนะนำให้ใช้ Firmware
Awesome Miner
ค่า Dev Fee 1.8-2.8%
วิธีสังเกต คือ ข้าง 6 Pin APW9+ จะมีรู 2 รู แต่ทั้ง 2 รุ่นแม้จะเหมือนกันในทางกายภาพ และอิเลกโทรนิกส์ แต่จริงๆ แล้วพวกมันใช้แทนกันไม่ได้ เพราะ PIC Control ที่ถูกโปรแกรมมาต่างกัน ดังนั้น ต้องใช้ PICKIT มาก็อปปี้ใส่ ถึงจะแปลงไปมาได้
มันคือ PSU คุณภาพสูง ที่จ่ายไฟเข้า (2 เส้น) แต่รวมกันเป็น เส้นเดียว และแตกออกมาเป็น DC 2 เส้น
เส้นแรกคือ 14.2-21Volt สูงสุดที่ 170 A หรือ 3600W (เป็นแบบปรับค่าไฟได้ ถูกควบคุมโดย PIC และสื่อสารกับ ตัวขุด เส้นนี้ ควรวัดไฟให้ได้ที่ 21.32Volt )
เส้นที่สอง คือ 12 Volt สูงสุดที่ 12A (เป็นแบบปรับค่าไฟไม่ได้)
เส้นแรกแยกเป็น 3 ส่วน
1A - The first AC input and EMI circuit (ต้องมีไฟเข้าที่ 220V)
เส้นที่ 2 แยกเป็น 4 ส่วน
พัดลมจะใช้เบอร์ 4028
วิธีการตรวจสอบ APW9
1. ตรวจสอบด้วยสายตา มีอะไรผิดปกติหรือไม่ พัดลมทำงานรึเปล่า (ถ้าพัดลมไม่ทำงาน ให้ตรวจไฟ 220V ก่อนทำอย่างอื่นเลย)
2. เสียบไฟ 220V แล้วตรวจว่า มีไฟ 12V ออกหรือไม่ (ตรวจแล้วต้องได้ค่า 12.1-12.5V) ถ้าไม่มี เริ่มแรกให้ตรวจ ไฟเข้าต้องมากกว่า 205V หรือ อาจมีวงจรช๊อตได้)
3. กรณี PSU เปิดๆ ปิดๆ ให้ตรวจ อุณหภูมิก่อนเลย เช่น พัดลม และ ฝุ่นให้ทำความสะอาดก็เพียงพอแล้ว
4. เปิดเครื่องมา ตรวจสอบ ตัวเก็บประจุ มีระเบิดหรือไม่ เพราะกระแสจะไม่นิ่งถ้า Cap ไม่นิ่ง รวมถึงตรวจสอบฟิวส์ก่อนเลย
6 เปิดแล้วไม่ติด ให้ตรวจรระบบ OverCurrent เป็นหลัก
NCP1654BD65R2G 30บาท
- cap 330uf 2V SMD 22 บาท
วิธีการ ติดซิงค์ แนะนำให้ติดด้วย กาว Arctic Silver หรือ Arctic Alumina ราคาค่อนข้างแพง เดิมที่มาจากโรงงานคือ ตะกั่วบักกรี ที่ทนอุณหภูมิได้ไม่เกิน 135C เท่านั้น (ขณะที่เราเตือนคุณก่อนว่า การใช้กาวดำ ใน L3+ และ S9 มาใช้นั้น เนื่องจากกาวระบายความร้อนได้ไม่ดีพอ ทำให้ ชิปเสียมาเยอะแล้ว)
*** ตัวชิปมุมล่าง มักจะถูก Burn เสมอ เพราะเป็นมุมอับ
ที่สำคัญคือ ต้องดูให้ดีว่า ชิปหลุดจากบอร์ด หรือ ซิงค์หลุดจากชิป ประเด็นนี้หลายคนตกม้าตายมาเยอะ
กรณี ชิปเสีย เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เกิดจากการกินกระแสที่หนัก และทำให้แรงดันผันผวน (ให้สังเกตุ การกินกระแส เวลาขุด ประมาณ 5 แอมป์) แต่บอร์ดที่เสียจะกินกระแสสูง 7 -10 แอมป์ (กรณี นี้อาจะเป็นที่ชิปช๊อต แต่มันจะต่างกัน ตรงที่ เปิดเครื่อง จะกิน 10 แอมป์เลย ) หากเป็นค่อยๆ เพิ่มการกินกระแส (อาจารย์ใบ้ว่า มันคือตัวที่สั่ง PIC ให้ปรับไฟขึ้นลง)
กรณี ชิปเป็น 0 ส่วนใหญ่เกิดจาก Booster ที่มีแรงดันต่ำเกินไป (อย่าลืมว่า ต้อง 24 V )




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น