R หรือ Resistor หรือ ตัวต้านทาน
SMD จะมีลักษณะมีสีดำ และ แบน
มีหน่วยวัดเป็น โอห์ม (สัญลักษณ์รูป โอเมก้า) หน้าที่ของมันคือ มันจะคอยกั้นกระแสไฟฟ้าให้ไหลผ่านไปได้น้อยลง แต่ตัวมันมักจะเกิดความร้อน และความร้อนมักจะทำให้ตัวต้านทานเสีย มักจะเสียด้วย
การ ยืดค่า (ยืดค่า คือ ค่าความต้านทานมันเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ จนไฟไม่สามารถเดินผ่านไปได้) และทำให้วงจรมันหยุดการทำงานนั่นเอง)
การที่ เราซ่อมแล้วทำมันหลุดหาย โดยไม่รู้ตัว หรือแตก หรือบิ่น (จุดนี้ต้องการการสังเกตุด้วยตาเป็นหลัก)
Capacitor หรือ ตัวเก็บประจุ
หน้าที่ของมันมีดังนี้
1. Storage เก็บประจุ และคายประจุ (ที่เร็วมาก) โดยที่ไฟฟ้ากระแสสลับผ่าน C ได้ แต่ไฟฟ้ากระแสตรงผ่าน C ไม่ได้
2. Filter แรงดันไฟฟ้า ให้เรียบ (มักใช้ C 2 ชั้น)
3. Coupling เพื่อป้องกัน ไฟฟ้ากระแสตรง ไม่ให้ผ่านไปได้ แต่ไฟฟ้ากระแสสลับยังคงไหลไปต่อได้ฅ
4. Charge Pump หรือ Booster คือการเอา C มาต่อขนาน และสลับ เพื่อเพิ่ม Voltage นั่นเอง
ยกตัวอย่าง ในแอร์ จะเรียกว่า แคปรัน ใช้สำหรับสตาร์ทคอมเพรสเซอร์
ตัวเก็บประจุ จะมี 2 อย่าง
1 แบบ Fix ค่า ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ และเราจะวัดแบบนี้
2. ปรับค่าได้
ส่วนใหญ่มีค่าเป็น uF หรือไมโครฟารัด pF หรือ ฟิโก ฟารัด
ยกตัวอย่างสำหรับ Capacitor แบบ Aluminium (กระป๋อง) จะอ่านค่าดังนี้
ด้านที่มีสีคาด = ขั้วลบ
ค่าบน uf
ค่ากลาง เลขชุดรแรก คือ Voltage และ อักษร A หรือ S (ค่า Series) หรือ V = Voltage
หากเป็นค่า Series จะต้องไปหาตารางเพื่อเปิดอ่าน มันจะบอกค่าทนอุณหภูมิ และ ช่วง Voltage ที่ทนได้ (ส่วนใหญ่ประมาณ 105 องศาเท่านั้น) แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ 3 ตัวจะต้องไปเปิดตารางค่า Voltage มาด้วย
ค่าล่างสุด เป็น Lot การผลิต
สำหรับมัลติมิเตอร์ ต้องเลือกเป็น รูป สายไฟ โดนตัด แต่บางรุ่นจะต้องเลือกเป็น ค่าโอห์ม ก่อนแล้วค่อยปลดค่า (ยก Shift ) อีกทีให้เป็น ไมโครฟารัดอีกที
และหากต้องวัด ตัว C ที่ค่าโวล์ท สูงๆ ๆหรือ ค่าฟารัดสูงๆ จะต้องล้างค่าก่อน ไม่งั้น มัลติมิเตอร์จะเสียหายได้ (คือเอาขามันช๊อตกันก่อนเลย) แต่ถ้าค่าสูงๆ อย่าลืมเป็น Auto ด้วย
ถ้าเสีย ค่าจะไม่ขึ้นเลย
กรณี C กระแสตรง (สลับขั้วไม่ได้ แถบขาวคือขั้วลบ)
วิธีการวัด 100uF เวลาวัด ต้องเอามิเตอร์ดำ จิ้มไปที่ลบ เท่านั้น และแดงไปจิ้มที่บวก จะได้ค่าตรงกัน
ตัว C นี่ถ้าต่อแบบขนานกัน ดังนั้น ถ้าลัดวงจรตัวเดียว มันจะลัดวงจรทั้งหมด เพราะมัลติมืเตอร์จะวัดได้ตัวที่ลัดวงจรทั้งหมด
L ตัวเหนี่ยวนำ Inductor
ใช้สนามแม่เหล็กตัดผ่านขดลวด จะเกิดกระแสในขดลวด เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านลวด จะเกิดการเหนี่ยวนำขึ้น แต่เมื่อต้องการระยะทางที่มากพอ จึงได้เอาขดลวดมาหมุนวน มันมักจะอยู่ในวงจรเพิ่มและลดแรงดันไฟเสมอ
ประเด็นคือ มันคือ ขดลวดทองแดงชุบน้ำยา ถ้ามันมีการลัดวงจร เกินกว่า น้ำยาของขดลวดจะรับได้ ก็จะทำให้ มันช๊อตได้
Diode
จะเป็นตัวที่มีขั้ว (+ Anode - Catode) เป็น Active เพราะเป็นตัวที่ใช้ควบคุมกระแสไฟฟ้าได้ คือกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ทางเดียว (Forward Bias) คือไฟเข้าได้ทาง Anode ทางเดียว (หลอด LED คือ Diode ชนิดหนึ่ง)
การเช็คช๊อต คือ จะต้องสลับขั้ว + - จะมีเพียงข้างเดียวที่ยอมให้ไฟไหล
PIC Chip
PIC Chip คือ Microcontroller รูปแบบหนึ่ง ที่ย่อมาจาก Peripheral Interface Controller (คือ การรวมโปรแกรม Ram EEPROM Serial 12C PWM และอื่นๆ โดยไม่ต้องต่อเสริมอุปกรณ์ภายนอก เพราะตัวมันมีทั้งความจำ และหน่วยประมวลในตัวเดียวกันเลย (เสมือนมีทั้ง CPU Ram แฟลชไบออส ในตัวเดียวเลย)
Mosfet Regulator
คือ Transitor รูปแบบหนึ่ง ถือเป็นวงจรรวมแบบหนึ่ง โดยจะมี 2 อย่างคือ
n Channel (หรือชื่อเล่น nMos สัญลักษณ์หัวลูกศรชี้เข้า) และ p Channel (pMos หัวลูกศรชี้ออก) ไม่ว่าจะแบบไหนก็จะมีขาออกมา 3 ขา คือ ขาเกท (G Gate) ขาเดรน (D Drain) และขา ซอร์ส (S Source) โดยจะมี ขาเบส B Base ซึ่งจะถูกต่อจาก ขาซอร์ส อีกทีหนึ่ง ดังนั้นหลักๆ จะมีแค่ 3 ขา
วิธีการทำงานคือ เราจะป้อนแรงดัน เข้าที่ ขาเกต G แล้ว
ถ้าเป็น n Channel คือ ถ้ามีกระแสน้อยเกินไป จะไม่มีกระแสไหลไปยัง ขาเดรน กับขาซอร์ส
ถ้าเป็น p Channel ถ้ามีกระแสมากเกินไป จะไม่มีกระแสไหลไปยังขาเดรนกับขาซอร์ส
ดังนั้น วงจรมักออกแบบให้ Mosfet เป็นสวิทช์ ชนิดหนึ่ง
ประเด็นก็คือ เราส่งแรงดันเข้าขาเกท ค่าหนึ่ง ขาที่ออกมาคือ ขาซอร์ส กับ ขาเบส แม้ว่าจะมีแรงดันเกิดขึ้น ก็จะเป็นไปตามแรงดัน Threshold Voltage (ค่าตามเกณฑ์) ซึ่งจะทำให้มันมี การทำงานแค่ 3 สถานะ คือ
1.) สภาวะการทำงานแบบคัตออฟ (Cut-off Mode) ทำงานตามที่เรากำหนด
2.) สภาวะการทำงานแบบไตรโอด (Triode Mode)
3.) สภาวะการทำงานแบบแอกทีฟ (Active Mode)
การวัด MOSFET เบื้องต้น
จับ Mosfet นอนหงาย ส่วนใหญ่ขาจะเรียงไป G S D ตามลำดับ
1. วัด G-S โดยตั้งมิเตอร์ X10K วัดสลับสายไปมา ต้องได้อินฟินิตี้ทั้งสองครั้ง
2. วัด D-S โดยตั้งมิเตอร์
2.1 ต่อสาย + เข้าขา S , สาย - เขาขา G
2.2 ย้ายสาย - ไปขา D ทันที ผล เข็มมิเตอร์จะขึ้นเกือบสุด แล้วค่อย ๆ ลดลงจนสุด
3. วัดสลับสาย
3.1 ต่อสาย - เข้า S , ต่อสาย + เข้า G
3.2 ย้ายสาย - ไป D , ย้ายสาย + ไป S เข็มไม่กระดิกเลย
3.3ย้ายสลับสายระหว่าง D-S เข็มจะขึ้น ชี้ที่ความต้านทานต่ำ
** ถ้าวัดขั้นตอนใดไม่เป็นไปตามนี้ แสดงว่า MOSFET เสีย**
ตรวจเช็คช๊อต คือ ต้องลองสลับขั้วเหมือน Diode จะด้านเดียวที่ไม่ช๊อต ถ้าเช็คช๊อต จะดังด้านเดียว
วงจร I2C Bus (Inter Intregrate Circuit Bus)
เป็นการสื่อสารแบบอนุกรมแบบ synchronou ระหว่าง Master(CPU กับ Slave(IC ต่างๆ) โดยอาศัยสาย 2 เส้น เส้นแรกคือ Clock เส้นที่ 2 คือ Data
โดย ขั้นแรก Master(ส่วนใหญ่เป็น CPU) จะส่งสัญญาณ Clock ออกไป โดยเป็นข้อมูลที่ระบุ Address ของ IC ให้ทำงาน (เผื่อว่า Slave แบบ IC มีหลายตัว) เพื่อบอกว่า Slave ตัวไหนต้องรับข้อมูลไหนมาคำนวณบ้าง เมื่อ Slave ทุกตัวได้รับข้อมูล Address มา ก็จะตรวจสอบว่า Address นั้นตรงกับของตนหรือไม่ ถ้าได้รับก็จะส่งสัญญาณกลับไปบอก Master ว่า ได้รับเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าไม่ตรงก็ส่งสัญญาณกลับไปว่า จะไม่ทำอะไร เพราะ Address ไม่ตรง และเมื่อ Slave ทำงานเสร็จเรียบร้อย ก็จะส่งสัญญาณ Data กลับไปยัง Master
ส่วนใหญ่ CPU จะคอยยิงสัญญาณ Clock ออกไปเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการติดต่อกลับมา จะรีสตาร์ทเรื่อยๆ นี่คืออาการของ Master หา Slave ไม่เจอนั่นเอง
หลักการทำงานดังนี้ เมื่อ CPU ส่งคำสั่ง Clock ออกไป จะมีการปรับแรงดันไฟฟ้าและส่ง ข้อมูล Address (เพื่อระบุว่าต้องการติดต่อกับ IC ตัวไหน โดยใน Address จะมีคำสั่งให้ IC เริ่มต้นทำงาน) และ Master หรือ CPU จะรอคอยการตอบกลับของ Slave
สัญญาณดิจิตอลส่วนใหญ่จะมีแรงดัน 1.8V (สถานะ High) โดยใช้ resistor pull up(ดึงให้ค่า High เสมอ) แต่ถ้า อยู่สถานะ Low จะเป็น 0V
Oscilator ตัวกำเนิดสัญญาณนาฬิกา
จุดเริ่มต้นคือ การเคลื่อนที่แบบวงกลม หรือ Wave จะเป็นดังนี้ 0 90 180 270 360
มันเป็นตัวเดียวเลยที่วัดค่าช๊อต ด้วย Volt แบบกระแสสลับ ดูว่ามันกระเพื่อมหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น