วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

Fix ASIC102 : ซ่อม Antminer L3+

 การซ่อม L3+

อะไหล่ ส่วนใหญ่ จะเป็นแบบ SMD ที่มีขนาด 0402 (มันคือเบอร์ขนาดของอิเลคโทรนิกส์ ซึ่งจะมีขนาดที่เล็กมาก เกือบจะที่สุดแล้ว คือมันมีขนาด 1x0.5 มม. แต่มีเล็กกว่าคือขนาด 0201)  

Control Board
กรณี Control Board เสียนั้น เนื่องจาก รุ่นนี้ใช้ได้ร่วมกับรุ่น A3 และ D3 เพียงแค่ต้องไป Flash Firmware ใหม่ก่อนเท่านั้น  ทำให้เราแนะนำให้ซื้อเครื่อง A3 ในราคาที่เท่าๆ กัน เพราะบางทีราคา Control Board นั้นราคาเกือบเท่ากับราคา A3 มือสอง แต่เราจะได้ทั้ง Control Board Body พัดลม และที่สำคัญ บางทีได้แถม PSU 1600W (ใช้ได้กับ S9 E3) ได้อีกด้วย

Hash Board
ก่อนจะไปเรื่องอื่น ขออธิบายเรื่อง ชิป และ การแบ่งแยกการจ่ายไฟของชิป ก่อนจะไปศึกษาเรื่อง ระบบจ่ายไฟของบอร์ด

Bitmain ออกแบบ Hash Board L3+ โดยใช้ชิป BM1485 จำนวน 72 ชิป โดยทุกๆ ชิปจะต้องมีไฟจ่าย 2 ขา คือ (VDD) 1.8V และ (PLL) 0.9V

Bitmain ได้ออกแบบ โดยแบ่งชุดจ่ายไฟสำหรับชุดชิปออกเป็น Voltate Domain สำหรับ L3+ จะมี 12  Voltage Domain โดยแต่ละ Voltage Domain หรือ แถวจะมี 6 ชิป รวมทั้งหมด มี 72 ชิป  โดยชิปทุกตัวจะต้องได้รับไฟ 2 ขา คือ VDD 1.8V และ PLL 0.9V

ประเด็นนี้ เป็นประเด็นแรก ที่ทำไมเราต้องไล่ระบบไฟ ตั้งแต่ต้นทาง ไปจน LDO(ตัวจ่ายไฟของแต่ละ Domian)  ว่าสามารถจ่ายไฟแบ่งออกเป็น 2 ขา คือ 1.8V และ 0.9V เพื่อไปจ่ายไฟให้ชิปให้ได้นั่นเอง

เราจะแยก การตรวจสอบ ภาพรวมออกเป็น 2 ส่วน คือ ภาคจ่ายไฟ และ ภาคสัญญาณ 

1. ภาคจ่ายไฟ

ภาคจ่ายไฟ ถ้ามีปัญหาตั้งแต่ภาคจ่ายไฟ การ์ดมักจะหาชิปทั้งหมดไม่เจอ หรือ เจอแจ้งว่า ASIC =0

สิ่งแรกที่ต้องทำ ก่อนอื่นเลย คือ ตรวจบอร์ดช๊อต 12V หรือไม่ (ถ้าช๊อต ห้ามเสียบ สาย 6 Pin และห้ามเสียบ Fix Feature เด็ดขาด หรือ PSU เด็ดขาด)

1. เริ่มต้น เราจะตรวจดูด้วยสายตาคร่าวๆ ก่อนว่า มีอะไรเสียหายหรือไม่ เช่น ซิงค์ระบายความร้อนมีการเคลื่อนตัวหรือไม่ ถ้าเคลื่อน มันมีเหตุผลอะไร ชิ้นส่วนต่างๆ อยู่ครบหรือไม่  โดนอะไรกระแทกมารึเปล่า ชิปไหม้มา หรือมีเศษตะกั่วตกหล่นตรงไหนหรือไม่  หากมีความผิดปกติ ด้วยสายตา (Visual)  ถ้าชิปไหนมีปัญหา (หลังเสียบสายทั้งหมด เราจะมุ่งตรวจสอบที่ชิปนั้นก่อนเลยว่า มีไฟ 0.8V หรือไม่ (ด้วยการจิ้มมัลติมิเตอร์จิ้มไป หลังชิป คล่อม โดเมนก่อนเลย) 

2. ถ้ดมา ก่อนดำเนินการอย่างอื่น เราควรตรวจว่า ระบบไฟ 12 V ช๊อตหรือไม่  เน้นว่า  ต้องตรวจช๊อต 12V ก่อนเสียบสาย 12V ก่อนเสมอ (อาการหลัก คือ เสียบ 6 Pin แล้ว เมื่อเครื่องทำงานไปสักพักนึง แต่  PSU (อย่างดี) จะตัดการทำงาน)  ถ้าไม่ตรวจก่อน บอร์ด อาจเกิดความเสียหายหนักได้ (หนักสุดอาจไฟไหม้ หรือ แผงวงจรลายขาด)  หรือ อุปกรณ์ซ่อมแซม ที่มีราคาแพงของเราอาจเสียหาย เช่น PSU หรือ  Fix Feature ที่มีราคาแพง ก็อาจจะพังตามไปด้วยได้

การวัดลัดวงจร หรือเช็คช๊อต  เราจะตั้งค่ามัลติมิเตอร์ไปที่ โอห์ม หรือ ตัวเช็คช๊อต เริ่มต้นที่ ขั้ว 6 Pin (ขาบน (+) กับ ล่าง (-)  อันขวาสุดก่อนเลย)
กรณี วัดโอห์ม  ถ้าได้ค่าน้อยกว่า 4 โอห์ม (แรงต้านทานน้อย) แสดงว่าช๊อต ถ้าวิ่งระหว่าง 1-2โอห์ม นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะมันมีไฟค้างในระบบ จาก Capacitor ที่คอยเก็บประจุไฟบางส่วน
กรณี วัดเช็คช๊อต   เมื่อตรวจเช็คช๊อต หากมีเสียงดังแปปนึง ไม่ต้องตกใจ เพราะมีไฟค้างใน Capacitor เช่นกัน แต่ถ้าเช็คแล้ว มีเสียงยาวๆ ก็ไฟ 12V ช๊อตแน่นอน ห้ามเสียบสาย 6 Pin เด็ดขาด)

กรณี พบช๊อตในระบบไฟ 12V ให้ตรวจสอบ 3 จุด ดังนี้ก่อน ไฟฟ้าจะไหลมาดังนี้  >> 
1. (DC Socket) ขั้วสายไฟ 6 Pin >> ตรงนี้ส่วนใหญ่ไม่ช๊อต แต่จะไหม้กันมากกว่า ทำให้ไฟไหลไม่ดี (ควรเปลี่ยนใหม่ เพราะขั้วไหม้ เสมือน มี ตัวต้านทานเพิ่มขึ้นในระบบ)
2. Capacitor  กระป๋อง 3 ตัว >> ก่อนตรวจช๊อต ควรทำการ DisCharge ก่อน ไม่งั้นมัลติมิเตอร์เราอาจเสียหายได้ (ด้วยการเอาแท่งโลหะ มาคั่นระหว่าง 2 ขา สักพักหนึ่ง)  ต่อมาตั้งค่าไปที่ โอห์ม ให้ ดำอยู่บน และ แดงอยู่ล่าง จิ้มทีละตัว ต้องได้ค่าโอห์ม 0.8-1 โอห์ม 
ค่าของมันคือ คือ 1000uF/16V (ตัวนี้ไม่ค่อยช๊อต แต่ก็เช็กซะหน่อย)
3. Capacitor สี่เหลี่ยมด้านบน (ตัวเล็กๆ มีขั้ว  วิธีเช็คไฟ 12V คือ ขาลบจิ้มด้านนอก ตัว Ground แล้วบวกจิ้มที่ ขาด้านขวาของ C ตัวกลางบอร์ด)

ถัดมา ตรวจมาถึงตรงนี้ ก็เสียบสายไฟ 6 Pin ได้แล้ว  โดยเมื่อเสียบสายไฟ 6 Pin ตอนนี้ ควรมีไฟ 12 Volt ไปรอที่ Mosfet ชุดบน (Mosfet จะเปรียบเสมือน สะพานไฟที่รอสัญญาณคำสั่งให้จ่ายไฟออกไป โดยสัญญาณจะสั่งมาจาก Control Board เราจะอธิบายเรื่องนี้ หลังเรื่อง Mosfet อีกที ไม่ต้องตกใจ) 

2. เมื่อเสียบสายไฟ 6 Pin
เมื่อไม่ช็อตแล้ว เราก็เริ่มเสียบสายไฟ 6 Pin จะไม่การจ่ายไฟ 12 Volt จาก PSU มารอ ถึงตรงนี้ ก็เสียบสายสัญญาณ IO ได้เลย ไฟจะเริ่มวิ่งไปทิศทางดังนี้

2.1 Mosfet 3 ตัว (ตัวบน กับตัวล่าง อาจจะคนละรุ่นกัน โดยตัวล่างรหัส MBR540)
ถัดมา ไฟ 12V จะวิ่งไปรอคำสั่งที่ Mosfet ตัวบน 2 ตัว  (Mosfet สีดำ แต่ละตัวมี 8 ขา ไม่ใช่ตัวที่วงไว้นะครับ ตัดดำๆ 3 ตัว) 

Mosfet จะมี 3 ตัว มันออกแบบวงจรตามชิป U73  คือ  2 ตัวด้านบน  (เรียกว่า Hi-Gate เป็นสะพานไฟควบคุมไฟ 12V) และตัวล่าง 1 ตัว (Low-Gate ควบคุมไฟ 10V ถ้าไม่ได้ 10V ให้หา R Feedback มาเปลี่ยน หรือเปลี่ยนยกชุด DC-DC (ชิป และตัวรอบๆ U73)  เพราะวงจรนี้ มันมาจาก U73 (Chip 20 ขา บางคนเรียก IC Drive Gate)  เลย หากใครอยากรู้ละเอียด สามารถไปดู DataSheet (แต่ละรุ่นจะไม่เหมือนกันอีกด้วย) มันจะออกแบบมาสำหรับใช้ Mosfet แบบนี้เลย)   

ลักษณะของ Mosfet คือ ขาบน 4 ขา คือขาเดียวกัน เป็นขาไฟเข้า 12V) และขาล่าง 4 ขา แบ่งเป็น 3 ขาแรกเป็นขาไฟออก  ส่วนอีกขา คือ ขารับ/ส่งสัญญาณ หรือขา en มาจาก enable คือขาที่รับคำส่งให้เปิดปิดสะพานไฟนั่นเอง ) 

ดังนั้น ตัวบน (Hi Gate)  ขาบน ต้องวัดได้ 12V (เทียบกับ Groud ของบอร์ด) และขาล่าง ขณะยังรอคำสั่งเปิดสะพานจะยังไม่มีไฟ และเมื่อมีคำสั่ง en มา Mosfet ตัวล่างถึงมีไฟ และ ขาสัญญาณ en จะต้องมีไฟ 3.2V มาจ่าย ถ้าไม่มี ไฟ 3.2V ที่มาจาก (U73 ชิป 20 ขา ที่มาจากไฟขา 5 มารึเปล่า)

ส่วน ตัวล่าง (Low Gate) เริ่มแรกจะไม่มีไฟมารอเลย (เพราะ Mosfet ตัวบนยังไม่จ่ายไฟลงมา) เมื่อมีคำสั่งเปิดสะพานมาที่ตัวบน( Hi Gate) แล้ว จึงเริ่มจ่ายไฟ ดังนั้น เมื่อวัด 4 ขาบน จะต้องมีไฟ 9.3-10V (วัดไฟตรงนี้ จะขึ้นอยู่กับการ OC บนเฟิมแวร์ด้วย เช่น เฟิมแวร์ไปลดไฟมา อย่างไรก็ดี ถ้าห่างจาก 10V เยอะ แสดงว่า R Feedback มีโอกาสยืดค่า หากยืดค่า หรือค่าความต้านทานกระแสจะเพิ่มขึ้น จะทำให้กระแสไฟเดินได้น้อยลง นั่นเป็นเหตุให้ HW error สูง ตัวนี้ช่างส่วนใหญ่ ที่ซ่อมจะมองข้ามตัวนี้ไป ทำให้ขุดได้ แต่ HW สูง)

วิธีเช็คช๊อต Mosfet ด้วยการจิ้ม 4 ขาบน กับ  Ground  ถ้าช๊อต ก็คือ Mosfet ช๊อต หรือ เช็คขา 4 กับขา 5 (บนกับล่าง) ต้องวัดได้ 4 โอห์ม รวมถึงเช็คช๊อต ขา 4 กับขา 8 (en) ด้วย 

ระบบ DC-DC
คราวนี้ เราจะพักเรื่องไฟจาก Mosfet ย้อนกลับไปดู การเปิดสัญญาณ en ให้กับ Mosfet เพื่อเปิดสะพานไฟ 

2.1 เริ่มต้น สัญญาณจะถูกส่งมาจาก Control Board ส่งมาที่สาย IO มาเข้าพอร์ต IO แล้วส่งมาเข้าที่ PIC Chip (ชิปตัวยาวๆ ที่มี 14 ขา ความจริงแล้ว ตัวนี้คือ มันสมอง ของบอร์ดเลย เพราะมันคอยสั่งงานออกไป และรับ/ส่ง สัญญาณต่างๆ อีกด้วย) โดย  Pic Chip จะต้องมีไฟมาจ่ายที่ขา 1 (ขาบนซ้ายสุด 3.2V วัดเทียบกับ Ground ของบอร์ด หรือ Group ของ PIC Chip เองก็ได้ Groud จะอยู่ด้านล่าง ซ้ายสุด ) 

2.2 PIC Chip  (ชิปที่มีทั้งหมด 14 ขา) ตัวนี้จะมีหน้าที่รับคำสั่งจาก IO Port (รับจาก Control Board) โดยจะมีหน้าที่หลัก 2 อย่าง

1. เป็นตัวสั่งการทำงานของระบบไฟของการ์ด ให้ทำงาน 
หาก ยังไม่มีคำสั่งให้ทำงาน PIC Chip ขา 4 ด้านล่างนับจากซ้าย จะต้องวัดไฟได้ 3.2V และ Transitor (ชิป 3 ขาด้านซ้ายของ PIC Chip) ขาด้านล่างจะต้องวัดไฟได้ 0V แต่เมื่อมี คำสั่งจาก PIC Chip มาแล้ว ขา 4 จะต้องวัดไฟได้ 0 V และ ขา Transitor 3 ขาล่างจะต้องวัดไฟได้ 3,2V แทน (สลับกัน)

ถ้าวัดได้ค่าดังกล่าวถูกต้อง แสดงว่า PIC CHIP ทำงานได้ถูกต้อง (แต่ถ้า Pic Chip ทำงานไม่ถูกต้อง  เราต้องลง Rom ใหม่ หรือ EEPROM  ด้วยเครื่องมือ PICKit 3.5 
(ถึงตรงนี้ ความจริงแล้ว ช่างควร อ่านได้จาก Kernel Log  ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะมันจะฟ้องว่า ERROR EEPROM  ดังนั้น ถ้าตรงนี้เสีย ช่างควรรู้ก่อนแกะบอร์ดออกมาด้วยซ้ำ ถ้ามาซ่อมตรงนี้ ถือว่า ช่างไม่ตรวจงานให้เรียบร้อยก่อนซ่อม อย่างไรก็ดี ช่างมือใหม่อาจหลงมาถึงตรงนี้ได้)

2 มันยังทำหน้าที่ รับส่งสัญญาณ (เหมือนการเต้นของหัวใจ) โดยเฉพาะ
ขา 5,6,7  (ด้านล่างนับไป) เป็นขารับ Address 
ขา 8 (ขาบน ขวาสุด)เป็นการรับค่า FB จาก IO Port (ผ่าน R107 ค่า49.9K)
ขา 9,10 (ขาบน รองขวาสุด) เป็นการับค่าจาก IO Port I2C 

ชิป IC Drive Gate หรือ U73


จะมี 3 รุ่นคือ LM27402SQ (16ขา ด้านละ 4 ขา เป็นรุ่นที่ต่ำกว่า Version 1.5 จะใช้รุ่นนี้ ) และ LTC3807EUDC (20ขา ซ้ายขวา 6 บนล่าง4) ชิปอีกตัวคือรุ่น 1.6 (UP9305W )


กรณี ไฟ DC-DC ผิดปกติ ต้องกลับไปตรวจสอบ PIC Chip ว่า ส่งมาค่าเดียวกับ DC-DC รึเปล่า ถ้าไม่ ต้องเปลี่ยนค่า Capacitor รอบๆ LM27402SQ ก่อน

แต่ถ้า DC-DC ไม่มีไฟออกมาเลย ต้องตรวจไฟขา en ที่ผ่าน R13 (91K), R14(12K) (เป็นตัวแบ่งไฟ 12V) ก่อนว่ามีไฟ 1V หรือไม่ ขณะที่ R11 (ไฟจาก 12V ผ่าน Mosfet แล้วผ่าน R11 ไปรอเข้า IC Drive)  ต้องได้ไฟ 12V (ขา 7 VIN) ถ้าไฟมาปกติ ต้องย้อนกลับไปตรวจ PIC Chip อีกครั้ง

และก่อนส่งสัญญาณ จ่ายไฟถึง Mosfet ที่จะไปจ่ายไฟ 10V  หรือไม่  ถ้าไม่ได้ค่า 10V ให้กลับมาตรวจ ค่า R (รอบๆ 3 ตัว) ถ้า R ยืด อาจวัดค่า ที่ Mosfet ได้ไม่ถึง 10V

ขาตัว LM27402SQ (นับขา 1 จากบนซ้ายสุดวนทวนเข็มนาฬิกาไป)
ถ้ากลัวงงให้ข้าม DataSheet ของ IC Drive  ไปก่อนได้ 
ก่อนอื่นจำไว้ว่า ถ้าอ่านวงจรไหน ว่า เจอ Mosfet 4 ตัวกับชิปตัวนี้มักจะเป็นการ ลดแรงดันลง เพื่อเพิ่มกระแส

ด้านซ้าย
ขา 1 เป็นขา Stack 
ขา 2 นับจากบน เป็นขา FB หรือ Feedback แรงดันว่าได้ไฟ 10V หรือไม่
ขา 3 นับเรียงลงมา เป็นขา COMP หรือ Compare คือ รับค่าจาก ขา 2 กลับมาเปรียบเทียบค่านั่นเอง มันจะส่งค่าทั้ง 2 ไป PIC Chip เพื่อปรับค่า
ขา 4  จะคู่กับ ขา 1 เสมอ เป็นขา FADJ  มันจะต่อคู่กับ ขา 1 โดยผ่าน C74 47nF และ R16 91K เพื่อปรับค่าความถี่ของไฟ (ให้อยู่ระหว่าง 200 kHz  ถึง 1.2 MHz) มันทำงานร่วมกับ Cboost ถ้าไฟไม่มา 10 V .ให้กลับมาตรวจขา 4 กับขา 1 ได้เลย

ด้านล่าง
ขา 5 ขาล่างซ้ายสุด ขา En หรือ ขา Enable (รับค่าจาก R13 และ R14)
ขา 6 เป็นขา Sync ค่าความถี่ภายนอกให้ได้ค่าที่ได้จากขา 4 (แต่ต่อภายนอกไปยัง Groud)
ขา 7 ขาที่ 3  คือขา VIN  (ตาม DataSheet ระบุ รับค่าได้ตั้งแต่ 3-20V) ขานี้ คือ ไฟ 12V จะผ่าน 3 Cap แล้วผ่าน Mosfet และผ่าน R11 ก่อนเข้ามาที่ขานี้
ขา 8  ขาสุดท้าย ขา PGOOD จะทำงานคู่กับ ขา 10 และ 13

ด้านขวา
ขา 12 ขาบนสุด เป็น SW มันมาจาก Diode ต่อเข้า C1 แล้วเข้ามา SW  (หน้าที่ของมันคล้ายๆ กับ Inductor คือยุบ ขยาย ๆๆ เหมือนวงจร Booster) แต่มันกลับกันคือ ลดแรงดัน Boost กระแส (ตัวนี้ทำงานรึเปล่าต้องเอา Scope ดูคลื่นว่ามีหรือไม่ (ก่อนที่จะกล่าวหาว่า Chip ตัวนี้เสีย ต้องไปดู Diode ก่อนเข้าขานี้ก่อน)

จ่ายไฟไป Mosfet 10V  เป็น Switch High side Grade
ขา 11 ขารองมา เป็น LG  หรือ Low Side Mosfet Gate (เกี่ยวกับ Mosfet ตัวล่าง 10V) 
ขา 10 ขารองมา เป็น VDD (ขานี้จะสัมพันธ์กับขา 13 เพราะ เมื่อไฟผ่าน C1(Cap100nF ) ส่วนหนึ่งไปขา 13 แล้ว จะจะมีการต่อไฟแล้วผ่าน D5(Diode ชิปสีดำ 2 ขั้วตัวใหญ่กว่าตัวอื่น) เข้าขานี้
ขา 9  ขา Groud

ด้านบน 
ขาที่ 16 ขา CS+
ขาที่ 15 ขา CS- 
ขา 15 - 16 ทำงานคู่กับ ขา 11 (LG) และ ขา 12 SW  2 ขานี้เป็นตัวตรวจสอบกระแส 10V
ขาที่ 14 ขาที่ 3 นับจากซ้าย)  เป็น HG เป็น High Side Mosfet gate (เกี่ยวกับ Mosfet ตัวบน 12V)
ขาที่ 13 (ขาขวาสุด) ขา CBoot เป็นขาที่รับไฟผ่าน C1 (Capacitor 100nF ตัวนี้ DataSheet บอกต้องผ่าน C ค่านี้ก่อนเสมอ)

ขา สำหรับ LTC3807EUDC
ขา 5 Sense - (Shorted ชุด 10V) เป็นขาเข้าเพื่อ วัดกระแส ระหว่าง IntVCC-0.5V เพื่อจ่ายกระแสไฟออก ขา 7 (ล่างซ้ายสุด) VFB  เป็นค่า Feed back
ขา 9  คือขา FGood
ขา 11 SW(Shorted ชุด 10V) เชื่อมต่อไปยัง inductor (ขดลวด)
ขา 14 (ขาที่ 3 ด้านขวา) มันจะต่อมาจาก LDO  โดยมันต้องมี Capacitor ขนาด 2.2uF ขึ้นไปรองรับ
ขา 15 ExtVCC (Shorted ชุด 10V) ไฟจากภายนอก 
ขา16 (ขวานสุด) PGND (ขานี้จะไปหา N Channel ของ Mosfet)
ขา17 (บนขวาสุด)  VIN ไฟเข้า
ขา 18 (บนถัดมาทางซ้าย) LIN (สัญญาณเข้า 0.3V)


3.  ระบบไฟ หลัง Mosfet
ย้อนกลับมาเรื่องระบบไฟ หลังจาก Mosfet 10V (ตัวล่าง) จ่ายไฟออกมาได้แล้ว  มันจะจ่ายไฟ 10V  ไปยัง L ขดลวด ก่อนส่งไฟส่วนหนึ่งไปยัง Domain ด้านล่าง (ชิปด้านล่าง) 12 โดเมน  และอีกส่วนจ่ายไฟไปที่ ชุด Booster (ด้านซ้ายมือของบอร์ด ตามรูปด้านบน)  เพื่อรอจ่ายไฟให้อีก 2 Domain สุดท้ายด้วย 

ถึงตรงนี้ เราควรตรวจไฟ แต่ละ Domain โดยจิ้มหลังชิป ค่อมหลัง โดเมน จะต้องได้ 0.8V และรวมต้องได้ 9.3-10V (ตามรูปด้านล่าง)

 


3.1 เมื่อ Mosfet ปล่อยไฟเข้า ขดลวด ก็จะจ่ายไฟไป Capacitor กลางด้านซ้าย (22uf/25V) และ 100uf/16V  2 ตัว (ต่อขนานกันกับ Groud) เหลือแรงดันแค่ 10V (จิ้มวัดไฟให้ถูก) ถ้าไฟไม่มา ให้ย้อนกลับไปตรวจไฟก่อนหน้านี้ก่อน

3.2 ถ้าไฟผ่านมาที่ Capacitor กลางซ้าย  ต้องได้ 10.0V (ตัวนี้ ถ้าไฟไม่มา ให้ย้อนกลับไปเช็ค Mosfet ตัวดำๆ  3 ตัว) โดยมันจะส่งไฟไปรอยังชุด Booster อีกทีที่แรงดันไฟ 10V

ก่อนจะไปเรื่องหลังจากนี้  เราต้องเข้าใจ ระบบการจ่ายไฟ ด้านล่างก่อนว่า  ....... LDO ด้านล่างคือ ชุดจ่ายไฟให้ชิปแต่ละ Domain (รูปด้านบน จะเป็นชิปสีดำ ตัวเลขทับอยู่) โดยระบบจ่ายไฟจะแยก เป็น 2 ชุด คือ ชุดแรก คือ โดเมน 1-10  และ โดเมน 11-12 (ในอนาคตเราจะเรียกว่า 2 โดเมนสุดท้าย)

4 ชุด Booster สำหรับจ่ายไฟให้ LDO 2 Domain สุดท้าย
อยู่ด้านซ้ายสุดของบอร์ด  มันมีหน้าที่ แปลงให้ไฟ 10V ไปกลายเป็นไฟ 14V เพื่อจ่ายไฟไป LDO เฉพาะ 2 Domian สุดท้าย ดังนั้น วัดไฟขาออกจาก Boosetr จะต้องได้ 14.0V (ตัวนี้ถ้าวัด ไม่ออกเลย หรือได้ 10V หรือ 12V ให้เปลี่ยนชุด ใหม่ Booster จบเลย แต่ถ้าไฟเกิน 14V ให้เปลี่ยน R และต้องลงไปเช็ค LDO ด้านล่างด้วยว่าช็อตหรือไม่ อาการนี้จะเจอชิปครบ แต่จะเกิด HW เยอะ ช่างมักมองข้ามเช่นกัน)
(ถ้า Booster ชุดเดิมของบอร์ด  ส่วนใหญ่จะเสียที่ออกซิเดชั่น(สนิม) ในตัวชิป U111(เป็น Power Supply Switch ของชุด Booster เลย) และตัวต้านทาน 2 ตัวข้างๆ มัน คือ R996(10K) R997(698K) 2 ตัวหลังเป็นตัวเช็คไฟว่าได้ 14V หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ มันจะเอาไฟจาก Capacitor มาจ่ายไปให้ L1 เพื่อให้ไฟเป็น 14V นั่นเอง (ตัวชิป U111 ที่เสียบ่อย เพราะมันเป็นตัวสับสวิทซ์ซ้ำๆ ถ้าใช่ 14V จะให้ Capacitor ชาร์จไฟ ถ้าไม่ใช่ 14V ให้ Capacitor จ่ายไฟให้เป็น 14V เรียกว่า มันสับสวิทช์บ่อยจนเจ๊งนั่นเอง)

ส่วนการเปลี่ยน Booster ทั้งชุด Kit นั้นมีข้อดีกว่า คือ มันทนกว่า โดยเฉพาะชิป ดั้งเดิม U111 นั้นไม่ค่อยได้คุณภาพ 


3. LDO
มาถึงจุดนี้ Booster สามารถจ่ายไฟ 14V ออกมาได้แล้ว แต่มันจ่ายเฉพาะ 2 โดเมนสุดท้าย (2แถวขวาสุด)  และ Mosfet ชุดกลาง(10V แยกจ่าย 12 โดเมน) ลงมาที่ชุด  LDO ทั้ง 12 ตัว  แต่เราต้องเข้าใจการจ่ายไฟก่อน

ระบบการจ่ายไฟ เข้า LDO แต่ละ Domain  จะเป็นดังนี้
แรงดันไฟ 10V จะถูกแบ่งจ่ายออกมาแต่ละ 12 Domain  (แรงดันไฟฟ้าจึงถูกหารด้วย 12 Domain 10V/12 = 0.83 Volt วัดโดยการการจิ้ม บวกลบ หลังชิป ข้ามโดเมนเท่านั้น ถ้าได้ต่ำกว่านี้แสดงว่า มีการตั้งค่า V ให้ต่ำกว่า เช่น 9.32/12 = 0.776V ต่อโดเมน) 

สรุปให้เข้าใจง่ายๆ คือ ชุดไฟ DC-DC จะจ่ายไฟแต่ละโดเมนคือ 0.83V ขณะที่ชุด Booster จะจ่ายไฟเพิ่มไปที่ 2 Domain สุดท้ายเพิ่ม  

LDO (Low-dropout regulator (LDO regulator) ) มันเป็น FET ชนิดหนึ่ง แต่ มันสามารถปรับสัดส่วนแรงดันไฟขาออกให้นิ่งได้ระดับหนึ่ง โดยสเปคของบอร์ดนี้  LDO รุ่นนี้ จะรับแรงดันไฟเข้าระหว่าง 2-6V (ไฟเข้าที่ ขา1 และขา 3  และจ่ายไฟออกที่ขา 5 1.8V) ดังนั้น ถ้ามีไฟจ่ายมาเกิน 6V มันจะช๊อตเสียได้ (ถอดเปลี่ยน)  

มันมี 5 ขา นับจาก ล่างวนทวนเข็มนาฬิกา ดังนี้
ขา 1 กับขา 3 ไฟเข้า LDO จะทำงานก็ต่อเมื่อ ไฟอยู่ระหว่าง  2-6 V ถ้าไฟจ่ายมาเกินจะเสียด้วย วิธีวัดคือ วัดกับ หลังชิป หรือ Groud บอร์ดเลยก็ได้
ขา 2  ขา Ground หรือขั้วลบ 
ขา 4  คือ ไม่ได้ใช้งาน 
ขา 5  ขาไฟออก จ่ายให้แต่ละ ชิป โดยทุกตัว (1-12) จะจ่ายไฟออกที่ 1.8V (วัดกับ Ground หลังชิป)

คำอธิบายเรื่อง Booster  กับ 2 Domain สุดท้าย **  LDO ไม่ควรใช้สลับกันเด็ดขาด **
มาถึงตรงนี้ ต้องอธิบายเรื่อง แรงดันไฟขาเข้า LDO ต้องอยู่ระหว่าง 2-6V

นั่นคือ LDO แต่ละตัว จะรับ แรงดันไฟจาก 3 Domain มาจ่ายไฟนั่นเอง 0.83x3 = 2.5 V จะเป็นไฟขาเข้าของ LDO  ยกตัวอย่าง เช่น LDO ของโดเมนที่ 1 จะรับแรงดันไฟจาก โดเมนที่ 1, 2, 3 มารวมกันเป็น 2.5 V นั่นเอง ไล่ไปเรื่อยๆ เช่น LDO ของ โดเมนที่ 5 จะรับแรงดันไฟจาก โดเมน 5,6,7 = 2.5V

โดเมนที่ 10 ก็ยังคงรับไฟมาจากโดเมนที่ 10 ,11 ,12 ก็ยังสามารถจ่ายไฟให้ LDO ได้ 2.5V เช่นกัน


แต่ประเด็นคือ  แล้ว โดเมนที่ 11 กับโดเมนที่ 12 ละ ?? นี่เป็นประเด็นว่า ทำไม 2 Domain สุดท้ายต้องมีชุดจ่ายไฟ Booster จ่ายไฟเพิ่มให้ (ประมาณ 3V) ขณะที่ LDO ของ Domain 11 นั้นรับแรงดันไฟจาก ตัวเอง  และโดเมนที่ 12  และ Booster จึงได้รับไฟเท่ากับ 5.5V (3V (Booster) + 11(0.8V)+12(0.8V)  ขณะที่ LDO ตัวสุดท้าย จะรับแรงดันไฟได้  3.5-4V (3V Booster) +12(0.8V)

ทำไม ไม่ควรเอา LDO มาสลับใช้
แต่กรณีของ LDO 2 โดเมนสุดท้าย (ตัว LDO มันคนละเบอร์กับ LDO โดเมน 1-10 แม้ตามสเปค มันจะรองรับไฟได้ 2-6V นั่นคือ ควรจะสลับกันได้ แต่มันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่ควรสลับกัน)  

อีกประเด็นคือ  .... ถ้าวัดไฟ ขาออกของ Booster แล้วได้เกิน 14V มีโอกาสสูงที่ LDO 2 ตัวล่างจะเสียไปด้วย ดังนั้น ก่อนเปลี่ยน Booster อย่าลืม เช็คไฟขาเข้า LDO 11 กับ 12 ด้วย รวมถึงเช็คด้วยว่า ช๊อตหรือไม่ (ช่างบางคน ก่อนเปลี่ยน Booster จะใช้สายโยง(คือโยง 12V มาจ่ายไฟแทน Booster)  เพื่อตรวจดูว่า LDO 2 ตัวนั้นเสียด้วยหรือไม่  ไม่งั้น มันจะเสียล่าง เสียบน เปลี่ยนไม่จบไม่สิ้น )

เช็คช๊อต ของ LDO คือ ต้องวัด Diode ขา 5 กับ ground ต้องได้ 40 โอห์ม ** ต้องเช็คก่อนเปลี่ยนเสมอ** นอกจากนี้บางที C ข้างๆ มันก็อาจช๊อต ไปด้วยก็ได้

R แบ่งกระแส
ตัวสุดท้ายที่เราจะเรียนรู้คือ ชุด R ที่ใช้แบ่งกระแสไฟออก  อย่างที่เราบอกข้างต้น  ว่าชิปทุกตัวต้องมีไฟจ่ายเข้าชิป 2 ชุด คือ 1.8V และ 0.9V

ตอนนี้เราได้ แรงดันไฟ1.8V จาก LDO มาแล้ว 12 โดเมน แยกไปจ่ายแต่ละชิป ..........  แต่ ไฟ 0.9V มาจากไหน?? นั่นคือ เราใช้ R แบ่งกระแสไฟ ออกเป็น 1.8V และ 0.9V อธิบายดังนี้

ถ้าไฟจ่ายจาก LDO ถูกต้องแล้ว คือ ไฟขาออกต้องได้ 1.8V ทุกตัว  แรงดันไฟมันจะถูกแยกด้วยค่า R 2 ตัว R824 ตัวใน (33) กับ R825 ตัวนอก (39) (ชิปสีดำ) ข้างๆ Cap 2 ตัว ( C มีหน้าที่แค่ทำให้ไฟมันนิ่งเท่านั้น) เพื่อแยกไปจ่ายไฟ 0.9V อีก 1 ตัว

โดยชุด R ตรงนี้ถือเป็น ชุดแบ่งชุดไฟ ให้ออกมาเป็น 1.8V กับ 0.9V 

ก่อนจะไปภาค สัญญาณ เรามาเน้นกันอีกครั้งว่า  
R หรือ Resistor  ตัวต้านทาน ชิปสีดำ มันจะมีแต่ ขาดเท่านั้น ไม่มีการช๊อต เด็ดขาด
C หรือ Capacitor ตัวเก็บประจุ  ชิปที่คาดสีเหลืองหรือน้ำตาล  มันจะมีทั้งขาด และช๊อต 

ประเด็นนี้ถือว่า สำคัญมากในการวิเคราะห์ถัดไป

สังเกตจุดแรกคือ ตัว R ยังอยู่ครบมั้ย  เพราะ R จะเป็นตัวแยกไฟจาก LDO เป็น 2 เส้น จ่ายเข้า ชิปแต่ละตัว 2 ทาง (เรียกวงจรนี้ว่า Voltage Spliter ) 
วัดค่า R ตัวแรก ต้องได้ 33 โอหม์ ตัวที่ 2 ต้องได้ 39 โอห์ม ไฟที่ถูกแบ่งออกจา R 2 ตัวนี้คือ 1.8 และ 0.9 จะเรียกว่า PLL (ถ้าไม่ใช่ จะทำให้สัญญาณ CLK เพี้ยนได้)

ถ้าไฟมาถึงตรงนี้แล้ว ถือว่า จบภาคจ่ายไฟ เข้าชิป แล้ว  ที่เหลือเป็นภาคสัญญาณ

อีกประเด็นคือ เมื่อจิ้มไฟหลังบอร์ด (ขณะขุด) คล่อม Domian แล้วจะต้องได้ค่า 0.83V และแต่ละโดเมนห้ามต่างกันเกิน 0.05V (ตรงนี้ พอจะบอกได้ว่า ตัวชิปไม่ได้เสีย แต่ส่วนใหญ่จะเกิดการลัดวงจร ให้ลองถอดซิงค์ออกมาดูอีกครั้ง โดยเฉพาะค่า C และ R ที่มีโอกาสเสื่อมมากกว่า)

ภาคสัญญาณ 
ย้อนกลับมาที่ ภาคสัญญาณ จะเริ่มต้นด้วย สายสัญญาณ จะวิ่งมาที่  IO Port แล้ววิ่งไปเข้า PIC Chip  (เราจะข้ามเรื่องที่มันไปสั่งจ่ายไฟที่ Mosfet ภาคจ่ายไฟ) เพื่อจ่ายสัญญาณ CO RI/RX (รับค่า) BO RST  4 ตัวนี้ ถ้าไม่มีสัญญาณ แสดงว่า PIC Chip มีปัญหา ต้องลงโปรแกรม PIC Chip ใหม่

สัญญาณจะมีทั้งหมด 5 ตัว ดังนี้  CLK  CO  RI/RX   BO  และ RST  

สัญญาณ ของ Bitmain จะมี CLK CO RI BO RST
1.  CLK หรือ Clock สัญญาณนาฬิกา มันเปรียบเสมือน ตัวหลักในการนำส่งสัญญาณอื่นๆ ไปกับตัวมัน (เหมือนรถยนต์บรรทุกสัญญาณอื่นไปกับมัน)  สัญญาณ CLK จะเริ่มต้นสัญญาณนาฬิกาที่ Oslli 25Mhz ที่ ข้างๆ ชิปหมายเลข 1 (ล่างขวาสุด) หรือ ในแผงวงจรจะเป็นตัว Y1 (วิ่งจากชิปตัวที่ 1 ไปหาตัวที่ 36 บางตำราว่าวิ่งไปถึงตัวสุดท้ายเลย ) ขณะที่ ข้างๆชิปตัวที่ 37 คือ  Y2 จะส่งสัญญาณ Clock จากตัวที่ 37 ไปหาตัวที่ 72

โดยเมื่อยังไม่ได้ทำงาน (และยังไม่เสียบสายสัญญาณ CLK จะวัดได้ 0V และถ้าเราเสียบสาย เราวัดไฟได้ที่ 1.8V แต่เมื่อเริ่มต้น ขุด เราจะวัดไฟได้ที่ 0.9V ตลอดเส้นทาง ยกเว้นชิปตัวที่ 36 เพราะชิปตัวที่ 37 จะถูกปล่อยจาก Oslli ตัวที่ 2 

ประเด็นของ สัญญาณ CLK 
ดังนั้น ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ถ้าสัญญาณ CLK จะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ถ้าเสียยกส่วน เช่น 37-72 นั่นคือ OSilli ตัวที่ 2 เสียนั่นเอง

แต่ถ้าเสีย แบบยกโดเมน เราต้องเข้าใจว่า สัญญาณ CLK จะเดินทางข้ามแต่ละ โดเมนได้ มันจะต้องผ่าน C (ตัวนี้เสียบ่อย ค่าคือ 100 nanofarud)  และ R อีกหนึ่งตัว (อยู่ด้านล่างสุดของแต่ละโดเมน) ดังนั้น ถ้า โดเมนไหน วัดได้ 1.7V สลับ 0 V ไม่ใช่ 0.9 V ให้ลงไปดูตัว C ด้านชิป (ติดซิงค์) ด้านล่างได้เลย มีปัญหาแน่นอน 

2. CO/TX  คือ สัญญาณเข้า  (หลักการการติดต่อสื่อสารคือ TX tranmision จะส่งสัญญาณไป RX แล้ว RX ต้องส่งกลับ) เพื่อสื่อสารถึงกันหมด (เพื่อให้ Hash Board คุยกับ Control Board คุยกันรู้เรื่องนั่้นเอง) มันรับสัญญาณมาจาก ขาที่ 11 ของ IO Port  โดยมันจะวิ่งไปเริ่มต้นที่ชิปตัวที่ 1 ไปหา ชิปตัวที่ 72 เลย  โดยมี แรงดันไฟ 1.8 V ตลอดเส้นทาง

3. RI/RX มันคือ ทางสัญญาณกลับของ CO/TX นั่นเอง โดยมันจะวิ่งจาก ชิปตัวที่ 72 กลับไปหาตัวที่ 1 และกลับไปขาที่ 12 ของ IO Port  ไม่ว่าจะมีสัญญาณหรือไม่มีสัญญาณ เราจะต้องวัดได้ 1.8V เท่ากับสัญญาณขาเข้า (ประเด็นการวัดค่า คือ ต้องวัดค่อม ชิป และสัญญาณ คือ วัดสัญญาณของตัวที่ 54 ต้องจิ้มสัญญาณตัวที่ 53 และจิ้มหลังชิปที่ตัวที่ 54 จะมีตัวเดียวที่ต่างจากสัญญาณอื่น)  ถ้าตัวไหนน้อยกว่า แสดงว่าไฟอาจมาไม่พอ

4 BO
  เป็นแรงดันไฟอ่อนๆ  (Low Voltage ) วิ่งจาก ชิปตัวที่ 1 ไปตัวที่ 72 โดยต้องวัดค่าได้ 0.-0.03V  

5 RST หรือ สัญญาณ Reset  จะเริ่มต้นจาก IO Port ขาที่ 15  วิ่งจากชิปตัวที่ 1 ไปชิปตัวที่ 72 ไฟ 1.8 V 

เมื่อเราเข้าใจระบบสัญญาณ เราจะเข้าใจว่า ชิปตัวไหนที่เสียแล้ว  แล้วเราจะวัดชิปว่าชิปไหนเสีย ได้อย่างไร เราวัด 2 อย่าง คือ ค่า Voltage (วัดตามค่าข้างบน) กับ ค่าไดโอด (มันมี ไอโอดอยู่ภายในชิปเลย ไดโอดคือ ให้ไฟไหลได้ทางเดียว มีขาแอโนด กับคาโทด มีค่าการวัดเป็น Impedence ) ต้องวัดค่า ไอโอด ได้ที่ 420-480 (ทุกสัญญาณ ทุกตัว)

เรียงดังนี้
RST , BO , RI/RX , CO, CLK
1.8   , 0    , 1.8      ,1.8  , 0.9V(ยกเว้น ตัวที่ 36 จะวัด Diode ได้ 0) 
                , 72-1,          ,1-72


ตัวอย่าง การค้นหาชิป เสีย
เมื่อวัด CLK ได้ 0.9V แต่พอวัดชิปตัวที่ 18 กลับวัดได้ 1.8V แสดงว่า หลังตัวที่ 18 จะวัดได้ที่ 1.8V ทุกตัว นั่นคือ ตัวที่ 18 หรือ 19 คือตัวที่เสีย

ย้อนกลับมาที่ RO ถ้าตัวที่ 18 ไม่มีสัญญาณ ก็แสดงว่า ตัวที่ 18 หรือ 19 เสีย ดังนั้น 2 สัญญาณนี้จะบอกได้ว่า ชิปไหนเสีย

ชิป 
ชิปมันจะต่อๆ กันเป็นอนุกรม และมี Diode อยู่ภายในชิป (ทำให้มันเดินไฟทางเดียว) วัด Volt ค่อมชิป ต้องได้ 0.83V ขณะที่วัด Diode ต้องได้ 400 ทุกตัว
 CLK ต้องได้ 420 -480

กรณีชิปเสีย หรือไม่ ต้องถอดออกมาแล้ววัด Diode ต้องได้ 0.4 Impedence  ขึ้นไป หรือ ความต้านทานต้องได้ มากกว่า 10โอห์ม ถึงไม่เสีย

เซนเซอร์ อุณหภูมิ (Temp Sensor)
ความจริงมันเป็นการรวบรวมอุณหภูมิจากชิปทุกตัวกลับมาที่ตัวนี้ โดยมันต้องได้ไฟ 1.8V ที่ขา 1 กับ ขา 8 (ขา 2-3 รับ)  ส่วนขา 4 และขา 5 เป็น Groud (ขา 6 7 เป็นส่งกลับไป PIC chip) 

ชิปตัวที่รับภาระ คือ ชิปหมายเลข 5 จ่ายทั้งไฟ และ รับข้อมูล Temp เลย ดังนั้น  ต้องตรวจเช็คทั้งคู่

วิธีตรวจเช็ก 6 จุดของ L3+

1. ไฟเข้า 12 Pins ต้องเป็น 12 Volt
2. ขดลวด ตรงกลางบอร์ด และ C ด้านกลางซ้าย ต้องได้ 10 Volt 
3. Booster ขาเข้าต้องได้ 10V ขาออกต้องได้ 14V
4. LDO ขาออกต้องได้ 1.8 V
5. PLL (R 2 ตัวข้างมัน) ต้องได้ 0.8 V 
6. สัญญาณ 5 ตัว (รวมเป็น 10 ) 

การติดซิงค์ L3+
1 ทำความสะอาดด้วย แอลกฮอล์ก่อน ทั้งฝั่งชิปและฝั่งซิงค์  แต่เนื่องจากกาวยังติดแน่นอยู่ บางทีเราอาจต้องใช้ เครื่องหัวปั่นมาปั่นออกก่อน (ควรปั่นห่างจาก บอร์ด เพราะอาจมีเศษโลหะลงไปติดในบอร์ดได้)

ถ้าไม่มีหัวปั่น ให้ใช้ ตะไบขนาดเล็ก นั่งขัดก่อน
2 น้ำยา จะใช้ Themal Adhesive Artic Aluminium (จะเป็นอย่างดีสุด และแพง สีขาว ที่สำคัญติดโคตรแน่นเกินไป ) 

Case Study ดังนี้
กรณี Fix Feature บอกว่า ASIC = 0  หาบอร์ดไม่เจอ
ให้เริ่มต้นจากหา RX ที่ชิปตัวที่ 72 ก่อน เช็ค จิ้มหลังชิป กับ ช่อง RX ส่วนใหญ่จะไม่มี 1.8 V
ถ้าไม่มีไฟ 1.8 V  ให้กลับมาเทสที่  LDO ว่า มีไฟ 1.8 กับ 0.8 หรือไม่ (ขา 5 กับ Groud) 
ถ้าไม่มีไฟมา LDO (อย่าลืมว่า Domain ของชิปตัวที่ 72 คือ Domain 12 และ Domain 12 กับ 11 รับไฟมาจาก Booster )
สรุป เคสนี้ส่วนใหญ่ Booster เสียนั่นเอง แนะนำเปลี่ยนทั้งแผง Booster ไปเลย

ก่อนเปลี่ยน อะไหล่ตัวไหน  เราแนะนำให้ลองทำสายโยง(ในตำนาน) ก่อนที่จะเปลี่ยนชุด Booster เพื่อความชัวร์  (สายโยงคือ คือ C ที่ขั้ว + กับขั้วลบของ B1) ความหมายของสายโยงคือ มันดึงไฟจาก 12 V ไปจ่าย 2 Domian สุดท้ายแทน (ของอาจารย์จะ ลากไฟจาก ขั้ว 6 Pin มาเลย) 
เพราะ LDO ความจริงต้องรับไฟ 14V แต่ความจริง มันสามารถรับไฟได้แค่ 12V ก็ได้ แต่ มันควรใช้ชั่วคราวเท่านั้น

กรณี Fix Feature บอก ASIC =72
การ์ดเห็นครบ แต่ บางทีไฟจ่ายไม่พอ เราต้องไล่ไป LDO ไปเรื่อยๆ หากตัวไหน จ่ายไฟออกมาน้อย ก็ต้องย้อนกลับไปดูว่า DC-DC จ่ายไฟ 10 V หรือไม่ หรือ Domain ที่ 11-12 จ่ายไฟ 12V หรือไม่ 

ถ้า DC-DC เสี่อม มันจะจ่ายไฟไม่ถึง 10V ซึ่งควรเปลี่ยนชุด DC-DC เลย

กรณี ค่า Impedence ของแต่ละ Domain ไม่เท่ากัน  ............  ส่วนใหญ่ชิปช๊อต
กรณี ค่า Voltage ของแต่ละ Domain ไม่เท่ากัน .................  สัญญาณผิดปกติ ในบางจุด (โดยเฉพาะ อาจเป็นชิป หรือ R )
กรณี ชิปหาไม่ครบ 72 เน้นว่า กรณี เครื่องขุดแจ้งว่า  หาชิปไม่ครบ ไม่จำเป็นต้องเป็นชิปตัวนั้นที่หาย แต่มันสามารถเป็น Guide Line ได้ เช่น เกิน 36 ชิป ก็น่าจะอยู่ชุดหลัง เป็นต้น แต่ถ้าเจอน้อยๆ นี่ยากละ  แต่เราจะเน้นการหาสัญญาณไปที่ สัญญาณ  TX และ RX แทน CLK

กรณี ขั้วไหม้
กรณีนี้ อาจเกิดจาก การเสียบสายไม่แน่น
อีกกรณีคือ  PSU ที่แม้ว่าจะใช้ระดับ 1800W แต่ทำไมยังไหม้ เพราะแต่ละการ์ด อาจใช้ไฟสูงถึง  240W (คือ ไป Overclock เพิ่มทำให้กินไฟเพิ่มขึ้นด้วย) นั่นหมายความว่า PSU อาจจะจ่ายไฟพอ แต่สายไฟ(เหลืองดำ) ที่ต่อกับขั้ว 6 Pin ที่ใช้อยู่อาจมีขนาดที่เล็กเกินไป และนั่นจะทำให้ ขั้วไหม้ หรือสายไหม้ได้นั่นเอง ดังนั้นต้องตรวจสอบขนาดสายไฟด้วย

กรณี ชุด 10V ช๊อตหมด
เราจะเริ่มต้นด้วยการตรวจช๊อต Capacitor 3 ตัวบนก่อน  (ตั้งโอห์ม แล้วเริ่มต้นวัด จะได้ 0.9 จะค่อยๆลดลงมา) และ Capacitor 12V  เช่นกัน (สำหรับชุด 12 V)

มันเป็นไปได้ที่จะเป็น Capacitor (Filter ส่วนใหญ่ต่อลง Ground ทำให้ยากต่อการหา ) เพราะมันต่อขนานกับเส้นวงจร (ให้ลองจิ้ม หลังบอร์ด (ดำ) กับด้านซ้ายของ Capacitor ดู) 

การวัดค่า Cap จริงๆแล้วจะต้องเอาออกมาวัดข้างนอก โดยวัดค่า ความต้านทาน หากเพิ่มแล้วค่อยๆ ลด คือยังใช้ได้ แต่ถ้า โอห์มสูงตลอด คือ C ขาด และถ้าโอห์ม =0 (2ด้าน) เลย แสดงว่า C ช๊อตเรียบร้อย

อย่างไรก็ดี เราสามารถตัด วงให้แคบเข้าด้วยการ เช็คช๊อต ของขา LDO ก่อนว่า โดเมนนั้นช๊อตรึเปล่า ซึ่งโดเมนนั้นช๊อตก็มีโอกาสที่ Capacitor แถวนั้นจะช๊อตไปด้วย

กรณี 10V ไม่ออก

1 Mosfet เสีย (ตัวล่าง) ม้นจะช๊อตลง Ground ดังนั้น Volt  จะเหลือ 0 แต่ถ้าตัวบนเสีย (12V)  หรือช๊อตไฟ (PSU แบบอย่างดี มันต้องตัด แต่ใช้ PSU ห่วย มันไม่ตัด และอาจทำให้ไฟไหม้บอร์ดได้) 
2. ถ้ามา 12V  R แบ่งแรงดันเสียหรือไม่ 
3 ถ้า Mosfet 4 ตัวไม่เสีย ให้กลับไปเช็ค Diode ก่อน แล้วค่อยมาเช็ค ชิป 20 ขา

กรณี การ์ดไม่ยอมขุด หรือ รีสตาร์ท ทุก 2 ชั่วโมง 
แยกเป็น 2 กรณี ย่อย
1. อุณหภูมิการ์ดไม่ผ่าน Bitmain ออกมายืนยันเองว่า ถ้าอุณหภูมิชิปสูงเกิน 80C  หรือ ลงไปต่ำกว่า 0 C L3+ มันจะไม่ยอมขุด และรีสตาร์ท  ประเด็นนี้ ให้ดูไปที่ พัดลมว่า มันพัดเกิน 4000 รอบหรือไม่ ถ้าต่ำกว่านี้ ให้ระแวงไว้ก่อนว่า พัดลมเสีย หรือ เริ่มเสื่อมแล้ว เปลี่ยนก็จบ 

2. ไฟไม่นิ่ง เพราะ ไฟตก (ไม่ว่าจะ 10V หรือ 14V ร่วง นั่นคือ กระแสไม่พอ ทำให้ แรงดันไฟฟ้า Volt ลดลง) ส่วนใหญ่จะเดาว่า R ยืด ทำให้กระแสผ่านได้น้อยลง  หรือ ไฟที่ต่อ 230V ตกไปต่ำกว่า 220V 

หากขึ้น ชิปรายงานเป็น x เชื่อว่า ชิปตัวนั้นกำลังเสียหาย (ต้องลดกำลังขุดลง) หรือเห็นชิปเป็น 2 กลุ่ม x กับ o  คือ แนะนำให้ส่งซ่อมก่อน

กรณี Voltage คล่อมโดเมน ได้ค่าไม่เท่ากัน
ให้สงสัยว่า ชิปมีปัญหา หรือชิปช๊อต (ควรตรวจค่าโอห์ม ค่อมโดเมนด้วย ถ้าได้ค่า 0 ก็แสดงว่า มีโดเมนช๊อต ให้เปิดซิงค์ ตรวจค่า C  ว่าช๊อตมั้ยก่อนค่อย ยกวางชิป ต่อไป

กรณี Booster ออกแค่ 10V
ให้เดาก่อนเลยว่า LDO 2 Domain สุดท้ายช๊อต หรือ โหลด อยู่  (ตรวจสอบอาการ LDO ช๊อตด้วยการ ปลดขา 4-5 ออก แล้วตรวจว่า มีไฟ 1.8V ออกหรือไม่) อีกสาเหตุ คือ ชิปบางตัวช๊อต

กรณี ขุดไม่เต็มแรง
ต้องขุดได้ 120 แต่กลับขุดได้แค่ 88  เกิดจาก มีการช๊อตลงกราวน์บางจุด
ใน Kernel Log จะขึ้นว่า ไฟจ่ายไฟไม่เสถียร ดังประโยคนี้
crc5 error,should be 00,but check as 03 0 1

กรณี ขุดแล้วขึ้น xxx หลังจาก Reboot การ์ดหายไปเลย
หากเกิดกรณีนี้ แนะนำให้ รอให้ การ์ดนั้น เย็นแล้วเปิดอีกครั้งก่อน 1 ครั้งว่า เป็นที่อุณหภูมิการ์ดร้อนหรือไม่
โดยให้ตรวจ Kernel Log ด้วยว่า เจอประโยคนี้หรือไม่?

cgminer[393]: Get [1]Temp Data Failed!

ก็แสดงว่า Temp sensor มีโอกาสเสียแล้ว จับเปลี่ยนก็จบ แต่กรณี ไม่มีอะไหล่เปลี่ยน รีโฟลอีกทีก่อน เพราะส่วนใหญ่ เป็นปัญหาที่ตะกั่วมากกว่า
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น